วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

ความจริง?? แล้วไง??


พระเยซูทรงตรัสว่า พระองค์ทรงเป็น"ความจริง"
พระเยซูทรงตรัสกับหญิงที่บ่อน้ำของยาโคบว่า ผู้ที่นมัสการพระเจ้าจะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและ"ความจริง"...
พระเยซูทรงพระนามว่า ผู้ทรงสัตย์ซื่อและ"สัตย์จริง"
พระเยซูทรงตรัสว่า เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลกเพื่อเป็นพยานให้แก่"สัจจะ"(ความจริง) คนทั้งปวงซึ่งอยู่ฝ่าย"สัจจะ"ย่อมฟังเสียงของเรา
โมเสสผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าเขียนในเฉลยธรรมบัญญัติว่า พระศิลา พระราชกิจของพระองค์ก็สมบูรณ์ พระมรรคาทั้งหลายของพระองค์ก็ยุติธรรม พระเจ้าที่"เที่ยงธรรม"(ความจริง)และปราศจากความผิด พระองค์ทรงยุติธรรมและเที่ยงตรง
อัครทูตยอห์นเขียนในหนังสือยอห์น 1:17 ว่า เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานธรรมบัญญัตินั้นทางโมเสส ส่วนพระคุณและ"ความจริง"มาทางพระเยซูคริสต์

คำว่า"ความจริง" ถูกกล่าวถึงในพระคำของพระเจ้า ถึง 233 ครั้ง ทั้งพันธสัญญาเดิมและใหม่
ในภาษาฮิบรู "เอมูนาห์" = ความจริง ยังหมายถึง ความมั่งคงที่แท้จริง ความปลอดภัย ความซื่อตรงและถูกต้องในด้านศีลธรรม เที่ยงตรง แน่วแน่ ไม่สั้นคลอน...
ในภาษากรีก "อาเลเทีย" = ความจริง เช่นกัน...

ที่อยากจะแบ่งปันในเรื่องราวนี้ มีเหตุผลอะไร...??

นั่นคือ เราจะตอบสนองอย่างไรกับความจริงที่เกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับตัวเอง และ เกี่ยวกับผู้อื่น
เพราะ ความจริงไม่ได้ทำให้ทำให้ท่านเป็นไท...
แต่ การรู้ความจริงและตอบสนองต่อความจริงต่างหาก ที่ทำให้เราเป็นไท


หากเราต้องรักพระเจ้ามากขึ้น จงทำ!! หากเราต้องกลับใจใหม่และรับการชำระตัว จงทำ!! หากเราต้องรักผู้ื่อื่นมากขึ้น จงทำ!!

อย่าตอบสนองความจริงเหมือนที่พวกฟาริสีทำ.... เขาแค่รู้เท่านั้น... แต่พระคำเขียนไว้ว่า ผู้ที่ฟังบัญญัติไม่ทำให้เขาชอบธรรม แต่ผู้ที่ปฎิบัติตามต่างหากที่ทำให้เขาชอบธรรม...

วันนี้คุณตอบสนองกับความจริงอย่างไร...???

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

เอกลักษณ์ และภาระใจของพันธกรทั้งห้า(แบบสรุป)



สรุปและเรียบเรียงมาจากคำสอนของ Don Myer จากหนังสือ Five fold ministry made practical , Rick Joyner จากหนังสือ The Apostolic Ministry , Peter Wagner จากหนังสือ Apostles today

ไม่ใช่ทุกคนที่ถูกเรียกว่าศิษยาภิบาล จะเป็นศิษยาภิบาลแท้ที่จริงแล้ว แต่เขาคือผู้ำนำแน่นอน บางคนอาจเป็นอัครทูต บางคนอาจเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนอาจเป็นศิษยาำิภิบาลจริง ถ้าพระเจ้าเรียกท่านให้มาเป็นผู้นำ ถึงแม้ว่าท่านอาจยังไม่ได้เป็นผู้นำในปัจจุบัน หรือกำลังจะเป็น หรือเป็นอยู่แล้ว ท่านสามารถเช็คตามข้างล่างนี้เพื่อดูว่าท่านมีของประทานอะไรในพันธกรทั้งห้าเพื่อท่านจะได้ทำในสิ่งที่พระเจ้าเรียกท่ีานให้ทำจริง ขอย้ำอีกครั้งว่า คำว่า่ของประทานพันธกรทั้งห้าคือของประทานแห่งการเป็นผู้นำคริสตจักร เอเฟซัส 4:11-12

1. อัครทูต กุญแจ สำคัญของอัครทูตคือ สิทธิอำนาจ
- มีสิทธิอำนาจและความเป็นพ่อฝ่ายวิญญาณ
- เห็นภาพกว้าง เข้าใจการปกครองและระเบียบแผนงานของพระเจ้า (Divine order)
- ได้รับการบัญชาเรื่องพันธกิจจากพระเยซู(เห็นพระเยซู) ไม่ว่าจะผ่านนิมิตหรือโดยตรง
- ขับเคลื่อนโดยของประทานและเป็นแหล่งให้เกิดของประทาน
- ทำให้ผู้เชื่อถูกสร้างขึ้นบนพระเยซู (ร่วมกับผู้เผยพระวจนะวางรากฐานของคริสตจักร)
- เข้าใจและเห็นความสำคัญของคนใหม่คนเดียวในพระคริสต์ระหว่างคนยิวและคนต่างชาติ one new man
- ทำให้แผนการและเป้าหมายของพระเจ้าสำเร็จในผู้เชื่อ
- ส่งต่อของประทานและการทรงเรียก
- เห็นความสำคัญของการเป็นหนึ่งในพระกาย
- อัครทูตแนวตั้งจะบุกเบิกคริสตจักร และต้องสร้างระเบียบของพระเจ้าขึ้น (Divine order)
- อัครทูตแนวนอนจะทำให้คริสตจักรที่มีอยู่แล้วอยู่ในระเบียบของพระเจ้า Divine order

2. ผู้เผยพระวจนะ กุญแจสำคัญคือ การสำแดง
- ปลดปล่อยของประทานฝ่ายวิญญาณ
- ปลดปล่อยนิมิตและการสำแดงของพระเจ้า
- ถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์และความชอบธรรมเป็นพิเศษ
- ปลดปล่อยการทรงสถิตของพระเจ้า
- ส่งต่อของประทานฝ่ายวิญญาณ
- พูดถ้อยคำที่มาจากพระเจ้าโดยสิทธิอำนาจในการเปลี่ยนแปลงชีวิต
- วางรากฐานชีวิตให้ผู้เชื่อและงานรับใช้ให้อยู่บนพระคริสต์
- เป็นนักอธิษฐานวิงวอน และส่งต่อวิญญาณแห่งการอธิษฐานและอธิษฐานวิงวอน
- จดจ่อที่พระเจ้ามากกว่ามนุษย์

3. อาจารย์(ครูสอน) กุญแจสำคัญคือ ความจริงของพระวจนะ
- รักษาความถูกต้องในพระวจนะของพระเจ้า
- สำแดงความและถ่ายทอดความเข้าใจในพระวจนะ
- ปลดปลอยและปกป้องผู้เชื่อจากวิญญาณการหลอกหลวงและการหลงผิด
- นำการดำเนินชีวิตในภาคปฏิบัติตามคำสอนและหลักการของพระเจ้า
- สอนผู้เชื่อให้ดำเนินชีวิตตามหลักการของพระเจ้าไม่ใช่ตามสถานะการณ์

4. ศิษยาภิบาล กุญแจที่สำคัญคือ การเลี้ยงดู
- นำการหนุนใจ และการปกป้องมาสู่ผู้เชื่อ
- นำผู้คนให้มีความรักและห่วงใยซึ่งกันและกัน
- ทำลายวิญญาณความเป็นเอกเทศ การแยกตัวและความไม่มั่นคง
- นำความรักและความอบอุ่นจากพระเจ้าสู่ผู้เชื่อโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ
- อธิษฐานเพื่อและให้คำปรึกษาแก่แกะที่มีปัญหาโดยความรักของพระเจ้าผ่านการ บำบัดและปลดปล่อย
- เลี้ยงดูและให้อาหารฝูงแกะ
- นำความสนิทสนมทั้งฝ่ายวิญญาณกับพระเจ้าและผู้เชื่อกับผู้เชื่อให้เกิดขึ้น
- นำฝูงแกะของพระเจ้า

5. ผู้ประกาศ กุญแจ สำคัญคือ การตอบสนอง
- ช่วยผู้เชื่อให้เข้าใจและตอบสนองต่อคำสอนพึ้นฐานของพระครัมภีร์ เช่น ความรอด การชำระ …
- ท้าทายและหนุนใจผู้เชื่อให้บัพติศมาในพระวิญญาณ รวมทั้งของประทานในพระวิญญาณ โดยเฉพาะความเชื่อ การหายโรค การอัศจรรย์ ...
- ท้าทายให้ผู้เชื่อออกไปประกาศ
- ท้าทายให้พระกายตอบสนองต่อพระเจ้าในการห่วงใยคนหลงหายและคนยากจน
- ทำลายวิญญาณการแก้ตัวในการประกาศ วิญญาณความเกียจคร้านของพระกาย
- นำการกลับใจใหม่เรื่องบาป
- นำผู้คนให้รับเชื่อและมาเป็นสมาชิกคริสตจักรท้องถิ่น

ขอบคุณบทความจาก http://sainasith.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

บัญญัติที่ใหญ่ที่สุด...

รักพระเจ้า - ไม่มีพระอื่นๆนอกจากพระเจ้าพระผู้สร้าง เชื่อฟังกฏเกณฑ์ของพระองค์ ฟังเสียงและปรนนิบัติด้วยใจร้อนรน ยินดีจนเนื้อเต้น บำรุงเลี้ยงวิญญาณจิตของเราด้วยพระวจนะทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า (มัทธิว 4:4) แสวงหาพระเจ้าในฐานะของ ผู้รับใช้ สหาย บุตร และ เจ้าสาวของพระองค์ (มัทธิว 6:33)

รักตัวเอง
- มอบทุกสิ่งแด่พระเจ้า อะไรบ้าง?? - ภาระการงาน ทรัพย์สิน ชีวิต สิ่งที่ชอบ(อาจจะรวมถึงความบาปบางอย่างที่ยังรัก) ความอ่อนแอ (หลายๆคนคิดว่าพระเจ้าไม่ต้องการสิ่งนี้จากเรา คำตอบคือ พระเจ้าต้องการทั้งดีและไม่มี) และทุกแง่มุมในชีวิตของเรา..

" เราไม่สามารถมีทั้งหมดของพระเจ้าได้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงได้ทั้งหมดของเรา..." - นี่คือประโยคแห่งความไพบูลย์ในพระคริสต์

พระเจ้าทรงเป็น พระเจ้าแห่งสรรพสิ่ง(Yahweh Sabaoth) หากเรามอบทุกสิ่งแด่พระองค์ เราเองจะรับศักดิ์ศรีเดียวกับพระองค์... อย่างไม่สามารถจินตนาการได้...

รู้รักว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ หยุดดูถูกตัวเอง พูดความจริงในพระคำที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา... มองชีวิตของเรา ผ่านเลนท์ของพระเจ้า...
พระเจ้ารักเราอย่างไร... เราต้องรักตัวเองอย่างนั้น เพราะเราคือพระฉายของพระองค์(ปฐมกาล 1:26)

รักคนอื่น - หากความสัมพันธ์ที่เรามีต่อพระเจ้า และต่อตัวเอง ไม่ถูกต้อง หรือ ไม่แข็งแรง ก็จะยากมากสำหรับคนอื่นๆ โดยมองง่ายๆ
Ex หากเราไม่มีเงินเลย เราก็ให้เงินคนอื่นๆไม่ได้ ... เช่นกัน หากเราไม่มีสัมพันธ์ภาพที่ดีต่อพระเจ้าและต่อตัวเอง เราจะไม่มีสามารถรักผู้อื่นได้อย่างที่พระเจ้าต้องการ... หากเรารักพระเจ้าสุดๆ จริงๆ ในทุกแง่มุมของชีวิต เราจะรักตัวเอง และง่ายมากที่จะรักคนอื่น...

ที่โลกนี่ยังมีความรักอยู่อย่างนี้ เพราะมีคนที่รับความรักจากพระเจ้ามาแบ่งปันผู้อื่นอยู่เสมอ...
และที่โลกวุ่นวายอยู่ขณะนี้ก็เป็นเพราะมีคนที่ไม่เริ่มต้นรับความรักจากพระเจ้า แต่สร้างพระเจ้าขึ้นมาเอง(ตามความคิดของตน หรืออาจจะเป็นคริสเตียนด้วยก็ได้) และใช้ชีวิตอย่างเห็นแก่ตัวไปวันๆ...


ในฐานะที่เราเป็นผู้เชื่อ พระกายของพระคริสต์ ผู้รับการไถ่ และเข้าส่วนในแผนการณ์นิรันดร์ของพระเจ้าทางคริสตจักรนั้น การประนีประนอมต่อโลกอาจจะทำให้เราพลาดบัญญัติสูงสุดข้อนี้ได้... "รักพระเจ้า รักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง" อย่าให้มันดังออกมาจากปากของเราเท่านั้นเพราะใครๆก็สามารถท่องได้และรู้ดี(ซาตานยังรู้เลย) แต่ชีวิตที่เราสำแดงออกนั้นจะต้องดังก้องอยู่ต่อพี่น้องในพระกาย ดังอยู่ต่อชาวโลก และดังอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วย...