วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เพลง Beautiful - Kari Jobe

มีเพลงนมัสการพระเจ้ามาฝากเพื่อนๆทุกคน เพลงนี้จะเพราะมากหรือน้อยนั้น... มาลองฟังกันเลย

http://www.youtube.com/watch?v=A3Jv1Hf2oCw

ดูแล้ว ให้เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรักของพระองค์ วันนี้ขอให้เราทุกคนตัดสินใจที่จะทำบางอย่างเพื่อพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงรักเราขณะที่เรายังเป็นคนบนบาปอยู่ และวันนี้เราหลายๆคนรู้รักความรักของพระองค์แล้ว... เลือกที่จะรักพระองค์ รักตัวเอง และรักผู้อื่น มากขึ้น...

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

จงลุกขึ้นและฉายแสง ในปี 2009

จงลุกขึ้นและฉายแสง ในปี 2009
ปีแห่งความมีชัยในท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ
คำเผยพระวจนะโดย อัครทูต เจน ฮามอน


4 กุมภาพันธ์ /2009

ปีแห่งการบังเกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ -2009 จะเป็นปีที่น่าตื่นเต้น แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งท้าทาย
A Year of Holy Spirit Birthing– 2009 will be an exciting yet challenging year.


ปีแห่งการบังเกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ –ปี 2009 จะเป็นปีที่น่าตื่นเต้น แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทาย เลข 9 คือเลขแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ของประทานของพระวิญญาณมีเก้าอย่าง และยังเป็นหมายเลขของการกำเนิด หลังจากอุ้มท้องครบเก้าเดือนแม่ก็จะให้กำเนิดแก่บุตร ปีนี้จะเป็นปีแห่งการเปิดเผยการทรงสถิต ฤทธิ์เดช และจุดประสงค์ของพระเจ้า จะมีบางสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาในปีนี้ ได้แก่ นิมิตใหม่, ธุรกิจใหม่ๆ, การทรงเจิมใหม่, สายสัมพันธ์ใหม่ๆ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้, การสำแดงการอัศจรรย์ใหม่ๆ มีหลายสิ่งที่อยู่ในครรภ์มาเป็นเวลานานแล้วซึ่งจะปรากฏเป็นจริงขึ้นมาในปีนี้ เช่นเดียวกับการบังเกิดตามธรรมชาติ ซึ่งจะต้องมีอาการปวดครรภ์, การบีบคั้น, การบิดตัว และความเจ็บปวดบางอย่างเพื่อจะทำให้สิ่งต่างๆ บังเกิดขึ้น แต่เมื่อถึงเวลาที่มันกำเนิดขึ้นมาแล้ว เราก็จะจดจำช่วงเวลาทุกข์ยากลำบากไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เพราะความยินดีอันสุดประมาณที่อยู่ต่อหน้าเรานั้น!
ขณะที่ฉันได้อธิษฐานและพิจารณาถึงพระวจนะสำหรับปี 2009 อยู่นั้น มีข้อพระคัมภีร์ที่เด่นๆ อยู่สองตอนที่ผุดเข้ามาในความคิด ข้อพระคัมภีร์ตอนที่หนึ่งคือ

อิสยาห์ 60:1-3 “จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้าขึ้นมาเหนือเจ้า เพราะว่าดูเถิด ความมืดจะคลุมแผ่นดินโลก และความมืดทึบคลุมชนชาติทั้งหลาย แต่พระเจ้าจะทรงขึ้นมาเหนือเจ้า และเขาจะเห็นพระสิริของพระองค์เหนือเจ้า และบรรดาประชาชาติจะมายังความสว่างของเจ้า และพระราชาทั้งหลาย ยังความสุกใสแห่งการขึ้นของเจ้า”
คำว่า ลุกขึ้นในภาษาฮีบรู ก็หมายถึงการลุกขึ้น – แต่ในภาษากรีก คำนี้หมายถึงฤทธิ์เดชในการฟื้นสภาพจากความตายมาสู่ชีวิต ...egeiroปลุก, เร้า (ความหมายตรงตัวคือ จากการหลับ, จากการนั่ง หรือการนอน, จากโรคภัย, จากความตาย; เชิงสัญลักษณ์คือ จากความสับสนคลุมเครือ, เฉื่อยชา, ซากปรักหักพัง, การไม่มีตัวตน): การยืนขึ้น การอัศจรรย์หลายครั้งเกิดขึ้นได้ด้วยคำว่า “จงลุกขึ้น” ปีนี้จะเป็นปีแห่งการอัศจรรย์มากมาย เมื่อเรายอมลุกขึ้น!
ฉายแสง หมายถึงการส่องแสง, การได้รับความสว่าง, เช้าตรู่, การจุดไฟ, การโชติช่วงด้วยความมั่งคั่ง ในภาษาอังกฤษ หมายถึง การส่องความสว่างออกไป, การทำสิ่งที่เหนือกว่า, การมีบุคลิกภาพที่เปล่งรัศมี
ความมืดในภาษาฮีบรูคือคำว่า
Choshek หมายถึง ความมืด; ความทุกข์, การทำลาย, ความตาย, ความไม่รู้, ความเศร้า, ความชั่วร้าย: จากรากศัพท์ของคำว่า ปิดกั้นความสว่าง คำว่าความมืดทึบแปลว่า ความเศร้าโศรก, หยาบ, มืดครื้ม เป็นคำที่ใช้อธิบายถึง ความปั่นป่วนวุ่นวาย หรือลมพายุ

แต่พระผู้เป็นเจ้าจะขึ้นมาเหนือเจ้า – เป็นภาพเปรียบในภาษาฮีบรู ถึงการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นมาขับไล่ความมืดในตอนรุ่งเช้า
...และพระสิริของพระองค์จะขึ้นมาเหนือเจ้า
- Kabowd คือคำฮีบรู ซึ่งแปลว่า ความงดงาม, เกียรติ, หนักอึ้งไปด้วยความมั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์ Shekinah (เชคีนาห์) คือศัพท์อีกคำหนึ่งที่แปลว่า พระสิริ ซึ่งหมายถึงการเปิดเผยพระลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า
ปีนี้จะเป็นปีเราจะได้เห็นพระสิริของพระเจ้าในมิติใหม่ ท่ามกลางความมืด
เป็นที่ชัดเจนว่า เรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่ความมืดกับความสว่างจะเกิดขึ้นพร้อมกันในโลก จะมีการสั่นสะเทือนอย่างหนักในราชอาณาจักรต่างๆ ของโลกนี้ แต่คริสตจักรจะผงาดขึ้นสู่ช่วงเวลาแห่งชัยชนะและการเก็บเกี่ยวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด
ข้อพระคัมภีร์ที่โดดเด่นอีกตอนหนึ่งสำหรับปีนี้คือ 2 พงศาวดาร 20.20 ซึ่งเป็นคำเผยพระวจนะสำหรับช่วงที่กำลังมีสงครามใหญ่

2 พศด. 20:20 20 และเขาทั้งหลายได้ลุกขึ้นแต่เช้าและออกไปในถิ่นทุรกันดารถึงเทโคอา และเมื่อเขาออกไป เยโฮชาฟัทประทับยืนและตรัสว่า "ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่ จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ และท่านจะสำเร็จผล"

ฉันรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งที่ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นตัวเลข 20:20 ฉันเชื่อว่า ในท่ามกลางภาวะแห่งความมืดอันใหญ่หลวงในแผ่นดินโลก พระเจ้าทรงประสงค์ให้ประชากรของพระองค์มีนิมิต 20/20 เพื่อจะมองเห็นอนาคตและปลายทางเพื่อจุดประสงค์สำหรับแผ่นดินของพระเจ้า พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรามีนิมิตฝ่ายวิญญาณ 20/20 สำหรับปี 2009 ซึ่งก้าวผ่านพ้นความกลัวไปสู่ความเชื่อ นี่เป็นช่วงเวลาสดใหม่แห่งความเชื่อในพระเจ้า ซึ่งถ้าปราศจากความเชื่อเสียแล้วก็ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้ และเป็นฤดูกาลที่ประชากรของพระเจ้าจะยึดมั่นและทำสงครามด้วยถ้อยคำเผยพระวจนะ ซึ่งจะเป็นสิ่งปลดปล่อยอนาคตบั้นปลายและความมั่งคั่งเข้ามาสู่ชีวิตของเรา

เรื่องราวแห่งชัยชนะของเยโฮชาฟัทต่อหน้าปฏิปักษ์ที่มีกำลังใหญ่หลวง ข้อพระคัมภีร์นี้เกิดขึ้นในวาระที่มืดมิดที่สุด และเผชิญกับการท้าทายหนักหน่วงที่สุดในประวัดิศาสตร์ของชนชาติยูดาห์ มันเป็นภาพเล็งถึงสภาพการณ์ของประชากรของพระเจ้าในทุกวันนี้ ซึ่งกำลังเผชิญกับความมืดมิด รอบล้อมด้วยบรรดาประชาชาติที่ชั่วร้าย แต่ในท่ามกลางสถานการณ์เช่นนั้น มันกลายเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง และเป็นช่วงเวลาที่สามารถเก็บรวบรวมทรัพย์สินจากศัตรูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ และชัยชนะนั้นเกิดขึ้นได้เพราะการแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า เพราะคำเผยพระวจนะ และการทำสงครามฝ่ายวิญญาณ กับการสรรเสริญ ฉันเชื่อว่ามีเครื่องบ่งชี้เชิงเผยพระวจนะหลายประการ ซึ่งทำให้เรารู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรบ้างในทุกวันนี้เพื่อจะประสบชัยชนะได้ เช่นเดียวกันกับบรรดาชนเผ่าอิสสาคาร์ ซึ่งรู้จักวาระ ว่าเมื่อใดควรทำสิ่งใด (1 พศด. 12:32)
1) วาระแห่งการปฏิรูปใหม่: เพื่อปรับดุล และปรับเปลี่ยนนิยามใหม่ เพื่อรับเอาน้ำองุ่นใหม่ เยโฮชาฟัทเป็นนักปฏิรูปคนหนึ่งในยูดาห์ เรื่องราวของท่านบันทึกไว้ใน 2 พงศาวดาร 17-20
ก) ท่านเป็นโอรสของกษัตริย์อาสา – ซึ่งพระนามแปลว่า “ผู้รักษา” – ท่านดำเนินตามรอยพระบาทบิดาของท่านผู้ซึ่งเป็นนักปฏิรูปด้วยเช่นกัน ท่านบังเกิดมาในบรรยากาศแห่งการเยียวยารักษาประเทศชาติ และนำพาประชากรของพระเจ้ากลับมาสู่พันธสัญญา นี่คือวาระแห่งการส่งต่อฤทธิ์เดชไปสู่คนรุ่นใหม่ (Generational Empowerment)– เป็นการรับช่วงต่อวาระแห่งการอธิษฐานและวิงวอนจากคนรุ่นก่อน พร้อมกับการรื้อฟื้นความชอบธรรม และทำการปฏิรูปคริสตจักร
ข) ท่านรื้อทิ้งบรรดาแท่นบูชาของพระต่างชาติ และจัดระเบียบการนมัสการที่ชอบธรรมขึ้นมาแทน
ค) ท่านแต่งตั้งบรรดาผู้พิพากษาและนักกฎหมายที่ชอบธรรมให้ทำหน้าที่ประจำการ ทุกวันนี้ยังคงมีการต่อสู้อย่างเข้มข้นในด้านการศาลในแผ่นดินของเรา
ง) ท่านแต่งตั้งผู้นำฝ่ายวิญญาณที่ชอบธรรมให้ทำหน้าที่ ผู้นำที่คดโกงและชั่วร้าย จะยังคงถูกเปิดโปงต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ผู้นำที่ชอบธรรมสามารถลุกขึ้นมาได้

ปีนี้จะเป็นปีแห่งการบังเกิดแบบสดใหม่ และการเทลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพื่อพระพรส่วนตัวเท่านั้น แต่เพื่อจุดประสงค์แห่งการปฏิรูป นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องไม่หวาดกลัวที่จะรับเอาน้ำองุ่นใหม่ ข้อพระคัมภีร์บอกเราว่า เราไม่สามารถเอาน้ำองุ่นใหม่ไปใส่ในถุงหนังเก่า ไม่เช่นนั้นถูกหนังนั้นจะระเบิดและทุกอย่างจะสูญเสียไป นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องรู้จักสังเกตเห็นถึงระบบถุงหนังเก่าให้ดี คือระบบศาสนา ที่กำลังทำการของมันอยู่เพื่อปกป้องไม่ให้คริสตจักรเข้ามารับเอาน้ำองุ่นใหม่
คริสตจักรกำลังอยู่ในยุคแห่งการปฏิรูปเป็นครั้งที่สาม ซึ่งหมายถึง เรากำลังอยู่ในช่วงที่เข้มข้นในการกำหนดบทบาทใหม่และพลังกระทบที่คริสตจักรมีต่อราชอาณาจักรในโลกนี้ จะมีการกำหนดนิยามใหม่สำหรับนิมิต โครงสร้าง ทรัพยากรด้านการเงิน ยุทธวิธี และรูปแบบของการนมัสการ ซึ่งเราต้องเตรียมพร้อมไว้

2) วาระแห่งการจัดการกับสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้

2 พศด. 20: 1 และอยู่มาภายหลัง คนโมอับและคนอัมโมน และคนเมอูนีบางคนพร้อมกับเขาทั้งหลาย ได้ขึ้นมาทำสงครามกับเยโฮชาฟัท 2 มีคนมาทูลเยโฮชาฟัทว่า "มีคนหมู่ใหญ่มาสู้รบกับฝ่าพระบาทจากเอโดม จากฟากทะเลข้างโน้น และดูเถิด เขาทั้งหลายอยู่ในฮาซาโซนทามาร์" (คือ เอนกาดี) 3 และเยโฮชาฟัทก็กลัว และมุ่งแสวงหาพระเจ้า และได้ทรงประกาศให้อดอาหารทั่วยูดาห์ 4 และยูดาห์ได้ชุมนุมกันแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาทั้งหลายพากันมาจากหัวเมืองทั้งสิ้นแห่งยูดาห์ เพื่อแสวงหาพระเจ้า

ในช่วงต้นปี 2008 พระเจ้าตรัสกับฉัน และให้ฉันเผยพระวจนะว่า “จงเลิกบ่นเรื่องการเขย่าได้แล้ว เพราะการเขย่านั่นแหละคือคำตอบของคำอธิษฐานของเจ้า” เรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความมืดสำหรับโลก เราจะต้องเตรียมใจและความเชื่อของเราให้พร้อมสำหรับการเขย่าซึ่งจะยังเกิดขึ้นต่อเนื่องต่อไปอีกในหลายๆ ด้าน แต่จงรักษาทัศนะที่เห็นแก่แผ่นดินของพระเจ้าไว้เสมอ ในสมัยของเยโฮชาฟัทนั้น การสงครามเป็นเรื่องเกี่ยวกับการนมัสการ ความมั่งคั่ง และอำนาจ การสงครามในทุกวันนี้ก็เช่นกัน ทุกอย่างที่หวั่นไหวได้กำลังถูกเขย่า เพื่อให้สิ่งที่ไม่หวั่นไหวดำรงอยู่ (ฮีบรู 12:27)

การเขย่าทางด้านเศรษฐกิจ: เห็นได้ชัดว่า เมื่อเราก้าวออกจากปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤติเศรษฐกิจเริ่มรุนแรงขึ้นนั้น เราจะเห็นว่าสงครามที่เกิดขึ้นเป็นการต่อสู้เพื่อความมั่งคั่ง ในตอนต้นปี 2008 ผู้เผยพระวจนะจิม ลาฟูน ได้เผยถ้อยคำที่ได้รับจากพระเจ้าทางนิมิตว่า อเมริกากำลังก้าวสู่ภาวะหดตัวทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ สถานการณ์ต่างๆ ในโลกจะย่ำแย่ลงก่อนที่เศรษฐกิจจะดีขึ้น พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเราในการจัดการกับวิญญาณแห่งความรักเงินทอง ธรรมิกชนจะต้องตัดขาดจากวิญญาณนี้ให้ได้ เพื่อจะสามารถรอดพ้นได้ในวันเวลาที่กำลังจะมาถึง ในท่ามกลางความยากลำบากนี้ ทรัพย์สินเป็นอันมากจะหายไป แต่ก็จะมีโอกาสที่เราจะได้รับทรัพย์สินมากมายด้วย นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการถ่ายโอนความมั่งคั่งไปสู่ประชากรของพระเจ้า เท่าที่เคยปรากฏมา มันเป็นเวลาที่เราจะต้องคิดแบบนอกกรอบ และความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ จะบังเกิดขึ้นท่ามกลางคริสตจักร

ความไม่สงบด้านการเมือง: วิญญาณแห่งปฎิปักษ์พระคริสต์กำลังปรากฏขึ้นในโลก เราจะยังได้เห็นผู้นำแบบเผด็จการ ทรราชย์ และคอมมิวนิสต์ใหม่ ก้าวสู่ตำแหน่งในโลก การสงครามช่วงนี้เป็นการต่อสู้ในเรื่องอำนาจ ประชาชาติต่างๆ ร่วมเป็นพันธมิตรกันเพื่อกระทำความชั่วร้าย การเขย่าทางเศรษฐกิจจะทำให้หลายประเทศซึ่งเคยเป็นศัตรูกันได้กลับมาทำความตกลงเป็นพันธมิตรกัน
ในสหรัฐอเมริกา เรามีโอกาสได้อธิษฐานเพื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงจิตใจของประธานาธิบดีคนใหม่ของเราคือ บารัค โอบาม่า ท่าทีของเขาต่อประเด็นทางด้านศีลธรรมเป็นเรื่องที่น่ากังวลเป็นหลักสำหรับความชอบธรรมของประเทศของเรา แต่ชื่อของเขามีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ด้วย คือแม่ทัพบารัค ผู้เป็นคนร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับเดโบราห์ ในช่วงเวลาวิกฤติซึ่งประเทศชาติกำลังตกอยู่ใต้การกดขี่ข่มเหง ชื่อของเขาหมายถึง การส่องแสง การส่องความสว่าง แสงวาววับ วูบวาบของดาบ เราจะต้องอธิษฐานขอให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเขาได้สำเร็จเป็นจริง เพื่อให้เขาเป็นดาบในพระหัตถ์ของพระเจ้าในวันเวลาที่กำลังจะมาถึง ถ้าคนดียังสามารถกลับไปกระทำความชั่วได้ คนที่ศีลธรรมล้มเหลวก็อาจหันกลับมาแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้องได้ บางทีพระเจ้าอาจสามารถใช้เขาให้เป็นความสว่างในช่วงเวลาแห่งความมืดมิดก็ได้


การก่อการร้ายจะยังคงมีเพิ่มขึ้นต่อไปอีก: ฉันรู้สึกว่าเรายังจะเห็นคลื่นแห่งการก่อการร้ายเกิดขึ้นในโลกอีกระลอกหนึ่ง แม้แต่ในแผ่นดินสหรัฐฯ นี่เป็นการสงครามเพื่อต่อสู้ช่วงชิงด้านการนมัสการ และวิญญาณแห่งอิสลามซึ่งเชื่อมโยงกับวิญญาณแห่งการรักเงินและการเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ อิสราเอลจะเป็นจุดสนใจที่สำคัญในปีนี้ ขณะที่กลุ่มหัวรุนแรงพยายามช่วงชิงความได้เปรียบเหนืออิสราเอล เราจะต้องอธิษฐานขอให้ผู้นำสหรัฐ (รวมทั้งประธานาธิบดีคนใหม่) กับอิสราเอลยังดำรงความเป็นพันธมิตรกันไว้ และขอให้รัฐบาลอิสราเอลมีสติปัญญาในการดำเนินยุทธวิธี คริสตจักรจะต้องรู้จักแยกแยะระหว่างวิญญาณและระบบของอิสลาม กับคนมุสลิม เพราะว่าการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ในวาระที่จะมาถึงนี้จะเกิดขึ้นท่ามกลางประชากรกลุ่มนี้
เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องสังเกตว่า ชื่อของเยโฮชาฟัท นั้นแปลว่า “พระเยโฮวาห์ได้พิพากษาแล้ว” เป็นเพราะเยโฮชาฟัทตั้งหลักได้ถูก ศัตรูของท่านจึงถูกพิพากษาก่อนจะมีการทำสงครามด้วยซ้ำ พระเจ้ากำลังทรงพิพากษาการรักเงินทอง ปฏิปักษ์พระคริสต์ และระบบของอิสลาม เราต้องตระหนักว่า เราไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวการพิพากษา เพราะพระเจ้าทรงพิพากษาศัตรูของเรา และกำหนดให้พวกเขาพ่ายแพ้ไปแล้ว การพิพากษาอาจเป็นสิ่งที่ดีได้ เพราะเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่ธรรมิกชนขององค์ผู้สูงสุด ด้วยว่าถึงเวลาแล้วที่จะครอบครองราชอาณาจักร! (ดาเนียล 7:21)

3) เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะรวบรวมและเชื่อมโยงกันเพื่อแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า
จากเรื่องราวนี้ ผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กทุกคน ได้เข้ามารวมกันในช่วงเวลาคับขันเพื่อแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า ขณะนี้ มีอันตรายใหญ่หลวงที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างที่จะเกิดกระบวนการปฏิรูปธรรมิกชน ซึ่งผู้เชื่อกำลังค้นพบสิทธิอำนาจและของประทานในชีวิตของตน และรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่แค่ไปคริสตจักรเท่านั้น แต่ทุกคนเป็นคริสตจักรอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ความเข้าใจเช่นนี้อาจทำให้หลายคนตัดสินใจแยกตัวออกจากคริสตจักรท้องถิ่นและพระนิเวศของพระเจ้าไปอยู่ตามลำพัง นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราต้องยึดมั่นในสายสัมพันธ์และมีความสัตย์ซื่อที่จะร่วมประชุมกับกลุ่มผู้เชื่ออยู่เสมอ จงระวังการแยกตัวไปอยู่เพียงลำพัง จงระวังการที่ศัตรูทำให้เรากระจัดกระจายออกจากกัน อิสยาห์ 65:8 กล่าวว่า เราพบน้ำองุ่นใหม่ได้จากพวงองุ่น และอย่าทำลายมันเสียเพราะมีพระพรอยู่ในนั้น เราต้องเข้าใจถึงพระพรที่เกิดขึ้นจากร่วมประชุมกันเป็นประจำ

4) เป็นวาระที่จะรับเอายุทธวิธีในการทำสงครามเชิงเผยพระวจนะ

ยาฮาซีเอล ซึ่งชื่อเขาแปลว่า พระเจ้าทอดพระเนตรเห็น เริ่มต้นแจ้งยุทธวิธีในการทำสงคราม:

2 พศด. 20:12-19 "12 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงกระทำการพิพากษาเหนือเขาหรือ เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีฤทธิ์ที่จะต่อสู้คนหมู่มหึมานี้ ซึ่งกำลังมาต่อสู้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าจะกระทำประการใด แต่ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งที่พระองค์" 13 ในระหว่างนั้นคนทั้งปวงของยูดาห์ก็ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าพร้อมกับภรรยาและลูกหลานของเขา 14 และพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาสถิตกับยาฮาซีเอลบุตรเศคาริยาห์ ผู้เป็นบุตรเบไนยาห์ ผู้เป็นบุตรเยอีเอล ผู้เป็นบุตรมัทธานิยาห์เป็นคนเลวีเชื้อสายของอาสาฟ เมื่อท่านอยู่ท่ามกลางที่ประชุมนั้น 15 และเขาได้พูดว่า "ยูดาห์ทั้งปวงและชาวเยรูซาเล็มทั้งหลายกับกษัตริย์เยโฮชาฟัท ขอจงฟัง พระเจ้าตรัสดังนี้แก่ท่านทั้งหลายว่า 'อย่ากลัวเลย และอย่าท้อถอยด้วยคนหมู่มหึมานี้เลย เพราะว่าการสงครามนั้นไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของพระเจ้า 16 พรุ่งนี้เช้าจงลงไปต่อสู้กับเขา ดูเถิด เขาจะขึ้นมาทางขึ้นที่ตำบลศิส ท่านทั้งหลายจะพบเขาที่ปลายหุบเขา ทางตะวันออกของถิ่นทุรกันดารเยรูเอล 17 ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องสู้รบในสงครามครั้งนี้ โอ ยูดาห์ และเยรูซาเล็ม จงเข้าประจำที่ ยืนนิ่งอยู่และดูชัยชนะของพระเจ้าเพื่อท่าน' อย่ากลัวเลย อย่าท้อถอย พรุ่งนี้จงออกไปสู้กับเขาและพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน"

แผนการรบของพวกเขา ยังคงเป็นวิธีการรบที่เหมาะสมสำหรับในทุกวันนี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในโลกตอนนี้ ฉันรู้สึกสัมผัสว่า บรรดาหลักการทำสงครามฝ่ายวิญญาณต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้มาในช่วง 15-20 ปีที่ผ่านมานั้น กำลังจะกลายมาเป็นจุดสนใจใหม่ ราวกับว่าที่เราได้เรียนมานั้นเป็นเหมือนกันฝึกฝนเพื่อวาระเวลาในปัจจุบันนี้ จะมีการเน้นครั้งใหม่และทิศทางใหม่สำหรับเราเพื่อให้สามารถทำสงครามได้อย่างมีชัยชนะในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้

ก) เอาชนะความกลัว ไม่เช่นนั้นมันจะเอาชนะเรา “อย่ากลัว หรืออย่าขยาดเลย….” คำฮีบรูที่แปลว่า กลัว หมายถึง การกลัว ทำให้ตกใจ ทำให้หวาดหวั่น คำฮีบรูที่แปลว่า ขยาด หมายถึง การหมดเรี่ยวแรง แตกหักเพราะความรุนแรง ความสับสนและความกลัว ทำให้พ่ายแพ้ ท้อใจและหวาดผวา นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องจัดการกับวิญญาณแห่งความกลัวอย่างปราศจากความปรานี และเติมใจให้เต็มไปด้วยความแอในพระเจ้า ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้เรากลายเป็นอัมพาต และไม่เกิดผลเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า
ข) ระบุตัวและตำแหน่งที่อยู่ของศัตรู ต่อไปนี้คือศัตรูของ เยโฮชาฟัท:
1) โมอับ
เป็นกลุ่มชนที่สืบเชื้อสายมาจากการล่วงประเวณีของโลต บุตรสาวของโลตมอมเหล้าและล่อหลอกให้ท่านนอนด้วย ชาวโมอับถูกเรียกว่า คนของพระเคโมช การนมัสการพระเคโมชกระทำโดยการบูชายัญเด็กในกองไฟ กษัตริย์โมอับที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ บาลัค ซึ่งชื่อของเขาแปลว่า ผู้ทำลาย ถึงแม้เขาไม่สามารถล่อหลอกบาลาอัมผู้เผยพระวจนะเท็จให้สาปแช่งประชากรของพระเจ้าได้ บาลาอัมก็บอกใบ้ให้บาลัคล่อลวงบรรดาประชากรของพระเจ้าให้กระทำบาป และแต่งงานกับพวกผู้หญิงต่างชาติ เพื่อจะให้พระเจ้าทรงสาปแช่งคนอิสราเอลเอง จงระวังวิญญาณแห่งการทำบาปและการล่อชวนที่มีอยู่ในโลกและในคริสตจักรทุกวันนี้ เราต้องรู้จักสังเกตผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ ซึ่งถ้อยคำของเขาเป็นเหมือนกับดัก เพื่อกระทำให้ประชากรของพระเจ้าเป็นพันธมิตรกับคนผิด จนหลงลืมหลักการแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้าไปเสีย

2) อัมโมน
เช่นเดียวกับพวกโมอับ พงศ์พันธุ์ของอัมโมนก็เกิดมาจากการล่วงประเวณีของโลตกับบุตรสาวอีกคนของท่าน ชาวอัมโมนนมัสการพระโมเลค ซึ่งต้องมีการบูชายัญเด็กเช่นเดียวกับพระเคโมช เรื่องการทำแท้งเด็ก ยังคงเป็นประเด็นร้อนภายในวิญญาณของเรา ขณะที่เรายังคงต้องร้องคร่ำครวญเพื่อโลหิตของบรรดาเด็กทั้งหลายที่กำลังตกเป็นเครื่องบูชายัญ ชื่อของอัมโมน แปลว่า ดั้งเดิม เผ่าพันธุ์ มาจากรากศัพท์ที่แปลว่า ครอบงำ ทำให้มืดมัว ซ่อนตัว (เหมือนเมฆมืดที่ปกคลุมเมือง หรือผู้คน) คำว่า ไสยศาสตร์ลี้ลับ จริงๆ แล้วแปลว่า การหลบซ่อน วิญญาณแห่งคาถาอาคมและไสยศาสตร์ พยายามที่จะทำให้ประชากรของพระเจ้าเกิดความสับสนและมืดมัว เพื่อทำให้เรามองไม่เห็น เราจะต้องมุ่งมั่นต่อสู้ในเชิงเผยพระวจนะเพื่อจะมองเห็น ได้ยิน และรู้จักพระสุรเสียงของพระเจ้า นี่คือเวลาที่เราต้องปลุกให้ของประทานแห่งการสังเกตวิญญาณตื่นตัวขึ้น เพื่อจะได้ฟังเสียงของพระเจ้าผ่านทางความฝันและนิมิต

3) ภูเขาเสอีร์
คนกลุ่มนี้นำเอาวิญญาณแห่งความกลัวและหวาดหวั่นมาสู่ผู้คนในแผ่นดิน เสอีร์แปลว่า ขนดกรุงรัง แพะตัวผู้ และมารร้าย แต่มาจากรากศัพท์ของคำว่า ลมพายุ, ทำให้ตัวสั่นด้วยความกลัว, เกิดความกลัวอย่างขนลุกขนพอง เราอาจตกอยู่ใต้ความกลัวได้ เพราะสิ่งใดๆ ที่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นความบาปทั้งสิ้น (โรม 14:23)

4) เข้าประจำที่ อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม “ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องสู้รบในสงครามครั้งนี้ โอ ยูดาห์ และเยรูซาเล็ม จงเข้าประจำที่ ยืนนิ่งอยู่และดูชัยชนะของพระเจ้าเพื่อท่าน อย่ากลัวเลย อย่าท้อถอย พรุ่งนี้จงออกไปสู้กับเขาและพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน"
เราจะต้องตระหนักว่า เราเข้าประจำที่โดยการถ่อมใจลงในการสรรเสริญ นมัสการต่อพระพักตร์พระเจ้า และโดยทางการเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า นี่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการสงครามเกิดขึ้น เราจะต้องลุกขึ้นและก้าวออกไปทำสงคราม โดยตระหนักเสมอว่า พระเจ้าจะทรงต่อสู้และกระทำการแทนเรา ในสิ่งที่ทำไม่ได้


5) เป็นช่วงเวลาสำหรับการปรับศูนย์กลุ่มอัครทูต

2 พศด. 20:20 “และเขาทั้งหลายได้ลุกขึ้นแต่เช้าและออกไปในถิ่นทุรกันดารถึงเทโคอา และเมื่อเขาออกไป เยโฮชาฟัทประทับยืนและตรัสว่า "ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่ จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ และท่านจะสำเร็จผล"

คำว่าตั้งมั่น หมายถึงการจัดให้สิ่งต่างๆ อยู่ในระเบียบ นี่คือการปรับตั้งศูนย์ให้กับกลุ่มอัครทูต พระเจ้ากำลังทรงมองหาคนเพื่อจะปรับศูนย์ในชีวิตของเขา ปรับตั้งศูนย์ของคริสตจักร ประเทศชาติ และคณะรัฐบาล เพื่อให้ทุกอย่างมีระเบียบ คำว่า การปรับตั้งศูนย์ หมายถึง การปรับให้เป็นเส้นตรง เพื่อคนในกลุ่มต่างๆ จะเห็นชอบและร่วมไม้ร่วมมือกัน เป็นเหมือนกับการปรับศูนย์ ถ่วงล้อ และทำให้อุปกรณ์แต่ละอย่างในเครื่องยนต์สามารถทำหน้าที่ประสานงานกันได้อย่างเหมาะสม เมื่อสิ่งต่างๆ ในโลกถูกปรับศูนย์เข้ามาสู่ระบบของแผ่นดินของพระเจ้าแล้ว ฟ้าสวรรค์ก็จะเปิดออก อย่าประหลาดใจถ้าคุณจะต้องถูกปรับศูนย์ฝ่ายวิญญาณ และด้านความสัมพันธ์ต่างๆ ซึ่งเป็นการท้าทายที่จะต้องเกิดขึ้นในปีนี้ พระเจ้าทรงสร้างแรงกดดันเพื่อทำให้ชีวิตของเราเที่ยงตรงและมั่นคง

6) เป็นช่วงเวลาที่จะต้องเชื่อคำของผู้เผยพระวจนะเพื่อเราจะจำเริญ

ฉันรู้สึกว่าน่าสนใจมากที่การสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นที่ถิ่นทุรกันดาร เทโคอา ชื่อนี้แปลตามตัวอักษรว่า ถิ่นทุรกันดารแห่งเสียงแตร แตรคือภาพเล็งถึงเสียงของผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า พระคัมภีร์เต็มไปด้วยตัวอย่างของผู้คนที่ประสบความทุกข์ใหญ่หลวง และได้รับถ้อยคำจากผู้เผยพระวจนะจนสามารถพลิกสถานการณ์ให้กลับดีได้ นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้เริ่มเห็นถึงการปรากฏของบำเหน็จแห่งผู้เผยพระวจนะ ผู้ที่อวยพรผู้เผยพระวจนะจะได้รับบำเหน็จ ผู้ที่เชื่อผู้เผยพระวจนะและนำเอาเผยพระวจนะไปประยุกต์ใช้จะได้พบความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่มาก คำฮีบรูที่แปลว่า ความมั่งคั่ง หมายถึง ทำให้ก้าวหน้าไป โผล่ออกมา มีกำไรมาก นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะก้าวหน้าไป และหลุดพ้นจากความยากจน การขัดสน และความจำกัด พระเจ้าจะทรงประทานกลยุทธในการแจกจ่าย ถ่ายโอน และสร้างสรรค์ความมั่งคั่งแก่เรา ขอให้เราพิจารณาดูตัวอย่างบางเรื่อง ต่อไปนี้:

ก) หญิงหม้ายชาวเศราฟัท – I พกษ. 17– ได้รับถ้อยคำเผยพระวจนะจากเอลียาห์ให้จัดอาหารเลี้ยงดูท่านก่อน แล้วแป้งกับน้ำมันของเธอจะพอกพูนไม่มีหมด ไม่เพียงแต่เธอจะได้รับการเลี้ยงดูในช่วงเวลากันดารอาหารเท่านั้น แต่บุตรชายของนางยังได้รับการชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย! เศราฟัท แปลว่า สถานที่แห่งการชำระให้บริสุทธิ์ เมื่อเราได้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของวิญญาณรักเงิน เราก็จะได้พบกับการเลี้ยงดูอย่างเหลือเชื่อ จากเรื่องนี้ เราได้รับบทเรียนว่า หลักการเรื่องการให้และการรับจากผู้เผยพระวจนะนั้น จะปลดปล่อยบำเหน็จของผู้เผยพระวจนะให้แก่เรา

ข) หญิงหม้ายภรรยาผู้เผยพระวจนะ – 2 พกษ. 4 – ผู้เผยพระวจนะเอลีชาถามนางว่า “เจ้ามีสิ่งใดอยู่ในบ้านของเจ้าบ้างหรือไม่?” นางจึงไปขอยืมภาชนะจากคนอื่นมา แล้วเริ่มเทน้ำมันลงไปในภาชนะเหล่านั้นจนเต็ม จากนั้นจึงนำน้ำมันนั้นไปขายได้เงินทองมามากมาย เรื่องนี้สอนให้เรารู้จักมองดูสิ่งที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมือของเรา และบ้านของเรา เพื่อเปลี่ยนให้มันกลายเป็นพระพรด้านเงินทองสำหรับเรา
หลักคิด: เราเตรียมตัวพร้อมมากน้อยแค่ไหน จะเป็นตัวกำหนดขนาดของพระพรที่พระเจ้าจะประทาน

ค) หญิงชาวชูเนม – 2 พกษ. 4 – คำว่า ชูเนม แปลว่า สถานที่แห่งการพำนักเป็นสองเท่า, มีความโชคดี, เต็มไปด้วยความโปรดปราน นางได้จัดเตรียมห้องหนึ่งไว้ในบ้านเพื่อต้อนรับผู้เผยพระวจนะ และท่านก็ได้เผยพระวจนะอวยพรให้นางมีบุตร การจัดเตรียมสำหรับนางแล้วเป็นเรื่องที่มากกว่าเงินทอง บำเหน็จของผู้เผยพระวจนะคือการปลดปล่อยการอัศจรรย์ซึ่งเงินซื้อไม่ได้ หลักการที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ เราต้องจัดพื้นที่ในบ้าน ในชีวิต ในพันธกิจ และในการงานของเราเพื่อให้การทรงเจิมของผู้เผยพระวจนะสามารถเข้ามาดำรงอยู่ได้ ไม่ใช่แค่แวะมาเยี่ยมเยียนเท่านั้น หลักคิดก็คือ เมื่อเราจัดพื้นที่ไว้ให้พระสุรเสียงของพระเจ้าเข้ามาดำรงอยู่ ไม่ใช่แค่แวะมาเยี่ยมเยียน พระเจ้าก็จะปลดปล่อยสิ่งที่เราขาดอยู่นั้นเข้ามาให้เรา

ง) โยเซฟทำนายฝันให้แก่ฟาโรห์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเจ็ดปีแห่งความแห้งแล้ง การสำแดงครั้งนี้นำไปสู่การวางกลยุทธเพื่อเก็บสะสมอาหารไว้กินในช่วงเวลาที่แห้งแล้ง หลักการที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องราวนี้ก็คือ พระเจ้าจะทรงใช้นิมิตและความฝัน เพื่อปลดปล่อยยุทธวิธีที่จะรับมือกับวาระและฤดูกาลต่างๆ ถึงแม้ความฝันนั้นอาจมาจากคนอธรรมก็ตาม จงอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงประทานการทรงเจิมแบบโยเซฟให้แก่คุณ ที่จะสามารถทำนายฝัน และได้รับความโปรดปรานที่มาพร้อมกับทรงเจิมนั้น พระเจ้ากำลังทรงยกชูคนที่เป็นโยเซฟขึ้นมาในวาระเวลานี้พร้อมด้วยคลังทรัพย์ และการทรงเจิมที่จะแจกจ่ายในฤดูกาลถัดไป เพื่อให้เขาเป็นศูนย์กลางแห่งการเลี้ยงดูสำหรับคริสตจักรและชาวโลกในช่วงเวลาที่กันดารอาหาร ยาโคบเองก็ฝันถึงการแบ่งฝูงแกะกับลาบันด้วย รวมทั้งยุทธวิธีที่จะทำฝูงแกะของท่านทวีจำนวนขึ้น

จ) ดาเนียล – ดนล 6:28 – จำเริญรุ่งเรืองได้แม้กระทั่งในรัชสมัยของกษัตริย์ที่ไม่เชื่อพระเจ้า เพราะท่านสามารถทำนายความฝัน, ติดต่อกับเหล่าทูตสวรรค์ และเผยพระวจนะให้ข้อคิดถึงความเป็นไปต่างๆ ของราชอาณาจักรในแผ่นดินโลก การทรงเจิมในการเผยพระวจนะของท่านกระทำให้ท่านมีความมั่งคั่ง ได้รับการเลื่อนขั้น และมีอิทธิพลภายในราชอาณาจักร ทั้งๆ ที่อยู่ในแผ่นดินบาบิโลน หลักการจากเรื่องนี้ก็คือ พระเจ้าจะทรงยกชูผู้ที่คอยฟังพระสุรเสียงเพื่อการเผยพระวจนะจากพระองค์ ซึ่งไม่ใช่สำหรับตนเองเท่านั้น แต่เพื่อประเทศชาติด้วย

ฉ) เศรุบบาเบล และพวกผู้ใหญ่ของชาวยิว สามารถสร้างวิหารได้สำเร็จในท่ามกลางปฏิปักษ์หมู่ใหญ่ เพราะถ้อยคำเผยพระวจนะที่ท่านได้รับจากฮักกัยและเศคาริยาห์ เอสรา 6:14-15 กล่าวว่า และพวกผู้ใหญ่ของพวกยิวก็ได้ทำการก่อสร้างให้ก้าวหน้าไป ตามการพยากรณ์ของฮักกัย ผู้เผยพระวจนะและเศคาริยาห์บุตรอิดโด เขาสร้างเสร็จตามพระบัญชาแห่งพระเจ้าของอิสราเอล และตามกฤษฎีกาของไซรัสและดาริอัสและอารทาเซอร์ซีสพระราชาแห่งเปอร์เซีย จะมีการทรงเจิมเพื่อให้ทำการสำเร็จ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะในช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปนี้

ช) อิสอัค – ปฐก. 26 ได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินฟิลิสเตียในช่วงเวลาที่เกิดการกันอาหารครั้งใหญ่ ตอนแรกท่านคิดจะทำเหมือนคนอื่นๆ คือย้ายไปอยู่ในอียิปต์ แต่พระเจ้าตรัสสั่งให้ท่านอาศัยอยู่ต่อไปในแผ่นดินคะนาอัน และพระองค์จะทรงอวยพรท่าน อิสอัคเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และได้หว่านพืชลงในที่ดิน และในปีนั้นท่านได้เก็บเกี่ยวผลหนึ่งร้อยเท่า จนกระทั่งท่านมีเงินทองเป็นอันมาก นี่คือหลักการแบบอิสอัค ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่า เมื่อปฏิบัติตามยุทธวิธีของพระเจ้า ถึงแม้จะอยู่ในช่วงเวลากันดารอาหาร แห้งแล้ง และมีความตายเกิดขึ้นในแผ่นดิน พระเจ้าก็ยังทรงสามารถกระทำการเหนือธรรมชาติเพื่อให้เกิดพระพรทวีคูณแก่คนที่อยู่ในพันธสัญญากับพระองค์
ยุทธวิธีจากพระเจ้า จะปลดปล่อยพระพรทวีคูณให้แก่เราแบบเหนือธรรมชาติ

ซ) ซีโมนเปโตร – ลูกา 5 – ปลาเต็มลำเรือ “เราได้จับปลามาตลอดคืนยันรุ่งไม่ได้อะไรเลย แต่จะขอหย่อนอวนลงอีกครั้งหนึ่งตามคำสั่งของพระองค์” เพราะพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงประทานการเลี้ยงดูอย่างใหญ่หลวงให้แก่เปโตร จนทำให้ท่านมีเงินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการติดตามพระเยซูได้ตลอดเวลาสามปีครึ่ง โดยที่ไม่ต้องออกไปจับปลาอีก

มัทธิว 17:27- เป็นเรื่องราวที่เปโตรถามพระเยซูว่าควรจะจ่ายภาษีพระวิหารหรือไม่ พระเยซูได้ทรงประทานคำแนะนำตรงๆ เพื่อบอกให้เขารู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อจะได้เงินนั้นมา มัทธิว 17:27 “... แต่เพื่อมิให้เขาสะดุด ท่านจงไปตกเบ็ดที่ทะเล เมื่อได้ปลาตัวแรกขึ้นมาก็ให้เปิดปากมัน แล้วจะพบเงินตราเชเขลหนึ่ง จงเอาเงินนั้นไปชำระค่าบำรุงพระวิหารสำหรับเรากับท่านเถิด" หลักการจากเรื่องนี้ก็คือ เมื่อเราเชื่อฟัง เท่ากับเรากำลังปลดปล่อยการจัดเตรียมของพระเจ้าเข้ามา

นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของการสำแดงเชิงเผยพระวจนะ เพื่อที่จะไขเอาพระพรและความมั่งคั่งมาสู่ประชากรของพระเจ้า แต่ละอย่างเหล่านี้ต่างก็สำแดงให้เห็นถึงการจัดเตรียมและความโปรดปรานของพระเจ้าที่มีสำหรับคนชอบธรรมในท่ามกลางภาวะยากลำบากร้ายแรงที่เกิดขึ้นในโลก แนวเศรษฐกิจของพระเจ้านั้นจะเข้ามาแทนระบบเศรษฐกิจของมนุษย์ คำว่าแทนที่ หมายถึง เข้ามาทดแทน หรือแทนที่บางสิ่งซึ่งมีประสิทธิภาพด้อยกว่า ล้าสมัยกว่า หรือเหมาะสมน้อยกว่า เรากำลังปรนนิบัติรับใช้ราชอาณาจักรที่เหนือธรรมชาติ ซึ่งไม่สามารถหวั่นไหวหรือถูกกำจัดได้ ชีวิตของเราควรจะเป็นสิ่งที่สำแดงถึงความยิ่งใหญ่ของแผ่นดินพระเจ้าและระบบเศรษฐกิจของแผ่นดินนั้น

ยรม. 17:7-8 7 "คนที่วางใจในพระเจ้าย่อมได้รับพระพร คือผู้ที่ความวางใจของเขาอยู่ในพระเจ้า 8 เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลำน้ำ เมื่อแดดส่องมาถึงก็ไม่กลัว เพราะใบของมันคงเขียวอยู่เสมอ และไม่กระวนกระวายในปีที่แห้งแล้ง เพราะมันไม่หยุดที่จะออกผล"

สดด. 37:19 “เขาจะไม่ได้อายในยามชั่วร้าย ในวันกันดารเขาจะมีอุดมสมบูรณ์”


7) เป็นเวลาที่จะสรรเสริญพระเจ้า เพราะพระเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์

พศด. 20:20-24. 20 และเขาทั้งหลายได้ลุกขึ้นแต่เช้าและออกไปในถิ่นทุรกันดารถึงเทโคอา และเมื่อเขาออกไป เยโฮชาฟัทประทับยืนและตรัสว่า "ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่ จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ และท่านจะสำเร็จผล" 21 และเมื่อพระองค์ได้ปรึกษากับประชาชนแล้ว พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งบรรดาผู้ที่จะร้องเพลงถวายพระเจ้า และแต่งกายด้วยเครื่องบริสุทธิ์สรรเสริญพระองค์ ขณะเมื่อเขาเดินออกไปหน้าศัตรู และว่า "จงถวายโมทนาแด่พระเจ้า เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์" 22 และเมื่อเขาทั้งหลายตั้งต้นร้องเพลงสรรเสริญ พระเจ้าทรงจัดกองซุ่มคอยต่อสู้กับคนอัมโมน โมอับ และชาวภูเขาเสอีร์ ผู้ได้เข้ามาต่อสู้กับยูดาห์ ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงแตกพ่ายไป 23 เพราะว่าคนของอัมโมนและของโมอับได้ลุกขึ้นต่อสู้กับชาวภูเขาเสอีร์ ทำลายเขาเสียอย่างสิ้นเชิง และเมื่อเขาทั้งหลายทำลายชาวเสอีร์หมดแล้ว เขาทั้งสิ้นช่วยกันทำลายซึ่งกันและกัน 24 เมื่อยูดาห์ขึ้นไปอยู่ที่เนินสูงที่ในถิ่นทุรกันดาร เขามองตรงไปที่คนหมู่ใหญ่นั้น และ ดูเถิด มีแต่ศพนอนอยู่บนแผ่นดิน ไม่มีสักคนเดียวที่รอดไปได้

เยโฮชาฟัทเป็นกษัตริย์ครอบครองเหนือยูดาห์ ยูดาห์ แปลว่า การสรรเสริญ คำสรรเสริญของเราไม่ใช่เป็นเพียงแค่การแสดงออกถึงความรัก และการขอบคุณพระเจ้าเท่านั้น คำสรรเสริญของเราเป็นอาวุธที่จะต่อสู้กับเหล่าศัตรูของเราอีกด้วย เมื่อเราสรรเสริญ พระเจ้าก็ทรงลุกขึ้น เมื่อพระเจ้าทรงลุกขึ้น ศัตรูของเราก็กระจัดกระจายไป ปีนี้จะเป็นปีแห่งการสรรเสริญผ่านทางปัญหาต่างๆ การนมัสการผ่านทางความวิตกกังวล และการเฉลิมฉลองผ่านทางสถานการณ์รอบตัวเรา เมื่อเราให้ตาของเราจดจ้องอยู่ที่พระเจ้าและสรรเสริญพระองค์ พระเมตตาของพระองค์ที่มีต่อเราก็จะปรากฏออกมา โดยการทรงทำลายศัตรูของเรา วิญญาณแห่งความขัดแย้ง และสับสนจะถูกปลดปล่อยออกมา และพวกเขาก็จะเริ่มทำลายซึ่งกันและกัน


8) เป็นเวลาที่จะริบของมีค่าจากเชลย

พศด. 20:24-30 “24 เมื่อยูดาห์ขึ้นไปอยู่ที่เนินสูงที่ในถิ่นทุรกันดาร เขามองตรงไปที่คนหมู่ใหญ่นั้น และ ดูเถิด มีแต่ศพนอนอยู่บนแผ่นดิน ไม่มีสักคนเดียวที่รอดไปได้ 25 เมื่อเยโฮชาฟัทและประชาชนของพระองค์มาเก็บของเสียจากเขาทั้งหลาย เขาพบสัตว์เป็นจำนวนมาก ข้าวของ เสื้อผ้า และของมีค่าต่างๆ ซึ่งเขาเก็บมามากสำหรับตัวจนขนไปไม่ไหว เขาเก็บของที่ริบได้เหล่านั้นสามวัน เพราะมากเหลือเกิน 26 ในวันที่สี่เขาทั้งหลายได้ชุมนุมกันที่หุบเขาเบราคาห์ ด้วยที่นั่นเขาสรรเสริญพระเจ้าเพราะพระพร เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกที่นั้นว่า*เบราคาห์*จนถึงทุกวันนี้ 27 แล้วเขาทั้งหลายกลับไปคนยูดาห์และเยรูซาเล็มทุกคน และเยโฮชาฟัททรงนำหน้า กลับไปยังเยรูซาเล็มด้วยความชื่นบาน เพราะพระเจ้าได้ทรงกระทำให้เขาเปรมปรีดิ์เย้ยศัตรูของเขา 28 เขาทั้งหลายมายังเยรูซาเล็มด้วยพิณใหญ่ และพิณเขาคู่และแตร ยังพระนิเวศของพระเจ้า 29 และความกลัวพระเจ้ามาอยู่เหนือบรรดาราชอาณาจักรของประเทศทั้งปวง เมื่อเขาได้ยินว่าพระเจ้าทรงต่อสู้ศัตรูของอิสราเอล 30 แดนดินของเยโฮชาฟัทจึงสงบเงียบ เพราะว่าพระเจ้าของพระองค์ประทานให้พระองค์มีการหยุดพักสงบอยู่รอบด้าน”

หุบเขาเบราคาห์ แปลว่า หุบเขาแห่งพระพรและความมั่งคั่ง! พระพรและความมั่งคั่งนี้ต้องใช้เพื่อประโยชน์แห่งราชอาณาจักรพระเจ้า ถึงแม้หลายคนกำลังอยู่ในภาวะพอที่จะเอาตัวเองรอดไปได้เนื่องจากการเขย่าทางเศรษฐกิจ แต่เราจะต้องรักษาท่าทีที่จะเห็นความก้าวหน้าเกิดขึ้น หุบเขาแห่งเบราคาห์อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว! การเก็บเกี่ยวบรรดาประชาชาติใกล้เข้ามาแล้ว! ความยำเกรงพระเจ้ากำลังจะบังเกิดขึ้นท่ามกลางอาณาจักรแห่งโลกนี้ เพื่อพวกเขาจะเริ่มพลิกฟื้นไปสู่การเป็นอาณาจักรของพระเจ้าของเรา ความยำเกรงพระเจ้าคือบ่อเกิดแห่งปัญญา และปัญญากับการสำแดงจะนำมาซึ่งชัยชนะแบบทลุทะลวง

กล่าวโดยสรุป ถึงแม้จะเกิดภาวะแห่งความมืดมิดขึ้นในโลก แต่พระเจ้าทรงปรารถนาให้ประชากรของพระองค์ตั้งหลักอยู่ในความเชื่อ คอยฟังพระวจนะของพระองค์และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว เราจะต้องไม่กลัวน้ำองุ่นใหม่ และต้องเปิดใจต่อการที่พระเจ้าประสงค์ให้เรากำหนดนิยามใหม่สำหรับนิมิต จุดประสงค์ และยุทธวิธีสำหรับช่วงเวลาดังกล่าวนี้ การอธิษฐาน การสรรเสิรญ และการเผยพระวจนะเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินควบคู่กันไป แลเราจะได้เห็นชัยชนะร่วมกันเมื่อคริสตจักรได้ลุกขึ้นจัดการกับสถานการณ์ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ และส่องความสว่างของพระคริสต์ออกไปท่ามกลางความมืด จนเราได้พบช่วงเวลาที่สุกใสที่สุดของเรา

“จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า”


จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า... – สดุดี ๔๖:๑๐
คุณเคยประสบปัญหาหนักจนไม่สามารถอยู่นิ่งได้เลยหรือไม่ แม้คุณจะอยู่ในห้องเงียบๆ เพียงคนเดียว แต่เสียงต่างๆ กลับดังก้องหูคุณอยู่ตลอดเวลา สมองของคุณถูกกระหน่ำด้วยความคิดถึงสิ่งที่ร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้น ความกลัวเข้าครอบงำจิตใจและหัวใจของคุณ

ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากบาก” (ข้อ ๑)

แต่การที่จะให้พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัย เป็นกำลังและเป็นความช่วยเหลือ คุณต้องทำสิ่งที่ผู้เขียนสดุดีทำ ท่านกล่าวว่า “ฉะนั้นเราจะไม่กลัว แม้ว่าแผ่นดินโลกจะเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าภูเขาทั้งหลายจะโคลงเคลงลงสู่สะดือทะเล” (ข้อ ๒)

ท่านตัดสินใจว่า แม้โลกจะถล่มทลาย แต่หากพระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัย ท่านจะไม่กลัว
ความกลัวคือศัตรูบ่อนทำลายความเชื่อ และเพราะคุณได้รับสิ่งใดก็ตามจากพระเจ้าโดยความเชื่อ เมื่อความเชื่อถูกบ่อนทำลาย คุณจะพลาดจากการได้รับจากพระเจ้า

มธ. ๑๔:๒๔-๓๒ กล่าวถึงเรื่องราวขณะที่สาวกของพระเยซูเผชิญกับคลื่นลมรุนแรงที่ซัดจนเรือโคลง ก่อนที่พระเยซูจะทรงกระทำให้ลมสงบลง พระองค์ตรัสว่า “ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง อย่ากลัวเลย” และหากชีวิตคุณประสบกับคลื่นลม ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำให้ลมสงบลง พระองค์ตรัสกับคุณวันนี้เช่นกันว่า “ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง อย่ากลัวเลย”
หรืออีกนัยหนึ่ง “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า อย่ากลัวเลย”

เมื่อพระเจ้าเสด็จมาช่วย ไม่ได้หมายความว่าลมจะนิ่งสงบทันที เมื่อพระเยซูเสด็จมาบนน้ำ ลมยังคงพัดแรง ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง หลายคนพลาดที่จุดนี้คือ เมื่ออธิษฐานแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดใดเกิดขึ้น ก็เลิกเชื่อ และปล่อยให้ความกลัวครอบงำและบ่อนทำลายความเชื่อต่อไป
พระองค์เสด็จไปหาพวกเขาเพื่อให้พวกเขามองพระองค์ แทนที่จะมองปัญหา พระเจ้าทรงประสงค์ให้คุณมองพระองค์ แทนที่จะมองปัญหาเช่นเดียวกัน
ท่ามกลางสาวกทั้งหมด เปโตรเป็นเพียงคนเดียวที่มองพระองค์ด้วยความเชื่อ เขาเชื่อพระวจนะของพระองค์ที่ตรัสว่า “มาเถิด” เขาเชื่อว่าคำสั้นๆ ของพระองค์สามารถทำให้เขาก้าวอย่างมั่นคงได้ท่ามกลางคลื่นลม เบื้องหน้าของเขาคือคลื่น เขากำลังจะทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขามองพระองค์ เชื่อพระวจนะของพระองค์ และเปโตรก็ก้าวลงบนน้ำไปหาพระองค์ ชีวิตของคุณอาจถึงทางตัน ข้างหน้าเป็นคลื่นที่รุนแรง แต่หากคุณวางใจในพระวจนะ คุณจะก้าวต่อไปได้ท่ามกลางปัญหาที่ซัดกระหน่ำเข้ามาในชีวิตคุณ

เปโตรกำลังไปได้ด้วยดี หลายคนบนเรือแทบไม่เชื่อสายตาว่า เปโตรกำลังเดินบนน้ำและกำลังเดินต่อไปเรื่อยๆ เป็นภาพที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง อีกไม่กี่ก้าวเขาจะไปถึงพระองค์อยู่แล้ว แทนที่เขาจะมองพระองค์ต่อไป เขากลับไปมองลมที่กำลังพัดอย่างรุนแรง ความกลัวได้เข้าครอบงำและบ่อนทำลายความเชื่อของเขา เป็นเหตุให้เขากำลังจะจม

พวกเราบางคนก็เช่นกัน อาจจะทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ คือก้าวไปบนพระวจนะท่ามกลางคลื่นลมแรงในชีวิต ดูเหมือนว่าเรากำลังไปได้ดีท่ามกลางปัญหา แต่แทนที่เราจะมองพระองค์และเชื่อพระวจนะจนถึงที่สุด เนื่องจากคลื่นลมยังคงแรงเหมือนเดิม เราเริ่มมองคลื่นลมแทนที่จะมองพระองค์ ทั้งๆ ที่อีกไม่นานคลื่นลมกำลังจะสงบลงแล้ว เรากลับปล่อยให้ความกลัวก่อให้เกิดความสงสัยและบ่อนทำลายความเชื่อ จนเรากลับไปจมอยู่กับปัญหาเหมือนเดิม

พระเยซูตรัสถามเปโตรว่า “ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง” จากพระวจนะของพระองค์ ความกลัวก่อให้เกิดความสงสัย และบ่อนทำลายความเชื่อ

หลังจากพระองค์กับเปโตรขึ้นเรือแล้ว ลมก็เงียบลง อันที่จริง เปโตรสามารถเดินไปหาพระองค์และเดินกลับขึ้นเรือกับพระองค์ และลมก็เงียบสงบลงได้ และนั่นคือน้ำพระทัยของพระองค์ แต่ท่านพลาดเพราะมองปัญหาและปล่อยให้ความกลัวครอบงำ

ท่ามกลางปัญหา พระเจ้าตรัสว่า “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า”

ไม่ว่าคุณกำลังเผชิญกับปัญหาใด อย่าเข้าใจว่าพระเจ้าได้เสด็จจากคุณไป พระองค์ยังคงประทับอยู่เบื้องหน้าคุณ ประทับอยู่กับคุณและประทับอยู่ในชีวิตคุณ อย่าหวาดกลัว แต่จงนิ่งเสีย และรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ก้าวไปกับพระองค์ด้วยความเชื่อในพระวจนะของพระองค์ท่ามกลางปัญหา แม้ปัญหาจะรุนแรงเพียงใด จงมองพระเจ้าและก้าวต่อไป พระองค์จะทรงนำคุณท่ามกลางปัญหาและในที่สุดปัญหาจะสิ้นสุดลง และคุณจะมีประสบการณ์กับชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ
คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ:
พระบิดาเจ้า ลูกจะนิ่งเสีย
และรู้ว่า พระองค์คือพระเจ้า
ลูกจะเชื่อและไม่กลัว
ลูกจะก้าวต่อไปกับพระองค์
ไม่ว่าลมจะแรงเพียงใด
เพราะลูกมั่นใจว่าอีกไม่นานลมจะสงบลง
ลูกสรรเสริญพระองค์
ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
www.gracezone.org

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บทเฉลยความตกต่ำของสหรัฐอเมริกา

ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ต้นแบบแห่งความศิวิไลซ์ในยุคแห่งเสรีภาพนี้กำลังเข้าสู่ความตกต่ำในด้านเศรษฐกิจ ศีลธรรมและภัยธรรมชาติอย่างรุนแรง เหตุที่เป็นเช่นนี้อาจจะไม่ชัดเจนสำหรับเราหลายๆคน ไม่มีใครคาดคิดหรือเชื่อว่า สหรัฐอเมริกาจะประสบปัญหามากมายขนาดนี้อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน...

ผมได้มีโอกาสฟังความเป็นมาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากผู้รู้และนักวิชาการพระคัมภีร์เรื่องยุคสุดท้ายจากGod TV และได้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งจากการฟัง ซึ่งตนเองก็ไม่เคยรู้ไม่เคยสังเกตมาก่อน ซึ่งจะนำมาแบ่งปันในโอกาสนี้ โดยจะขอเท้าความเพื่อความเข้าใจของทุกคนสักนิด
ในการเรียนพระคัมภีร์นั้นมีศาสนศาสตร์มากมายที่พยายามอธิบายความเข้าใจของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า โดยมีทั้งความเข้าใจ และความเข้าใจผิดปะปนกันไป (มนุษย์ผู้ไร้ปัญญาพยายามเข้าใจพระเจ้าผู้ทรงปัญญา) และความผิดพลาดนี้ก็ส่งผลต่อความเข้าใจระดับชาติ หนึ่งในนั้นคือความเข้าใจของสหรัฐอเมริกาที่มีต่ออิสราเอล โดย ศาสนศาสตร์นี้ เรียกกันอย่างกว้างขวางว่า"Replacement Theology" หรือ "ศาสนศาสตร์แห่งการทดแทน" ซึ่งผู้นำสหรัฐเชื่อในหลักการนี้ โดยอธิบายสั้นๆไว้ว่า
"เมื่อพระเยซูมาสำแดงความเป็นพระเจ้าแก่อิสราเอลนั้น คนยิวส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสิยาห์และพระเจ้าของอิสราเอล เป็นเหตุให้ค.ศ. 70 คนยิวสิ้นชาติจากการทำลายของอาณาจักรโรมัน แต่ยังมีคำพยากรณ์หลายอย่างที่ยังไม่สำเร็จเกี่ยวกับอิสราเอล ซึ่งคริสตจักรยังคงอยู่และแพร่กระจายไปทั่วยุโรปอย่างไม่หยุดยั้ง จึงคิดกันไปต่างๆนานาว่าพันธสัญญาที่พระเจ้าทำกับอิสราเอลทั้งหมดนั้นถูกแทนด้วยคริสตจักรแล้ว"

นี่เป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างรุนแรง ซึ่งพระเจ้าได้ทำพันธสัญญากับอิสราเอลนั้นเป้นพันธสัญญานิรันดร์ ตรัสใน อพยพ19:3-6
3โมเสสขึ้นไปเฝ้าพระเจ้า พระเจ้าตรัสจากภูเขานั้นว่า "บอกวงศ์วานยาโคบและชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า
4 พวกเจ้าได้เห็นกิจการซึ่งเรากระทำกับชาวอียิปต์แล้ว และที่เราเทิดชูเจ้าขึ้น ดุจดังด้วยปีกนกอินทรี เพื่อนำเจ้ามาถึงเรา
5 เหตุฉะนี้ถ้าเจ้าฟังเสียงเรา และรักษาพันธสัญญาของเราไว้ เจ้าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเราที่เราเลือกสรรจากท่ามกลาง ชนชาติทั้งปวง เพราะแผ่นดินทั้งสิ้นเป็นของเรา
6 เจ้าทั้งหลายจะเป็นอาณาจักรปุโรหิต และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับเรา นี่เป็นถ้อยคำที่เจ้าต้องบอกให้คนอิสราเอลฟัง"

สิ่งนี้เองเป็นเหตุที่ทำให้ใครก็ตามที่ตอบสนองกับอิสราเอลชนชาติของพระเจ้าอย่างไม่สมควร เป็นเหตุให้ประเทศนั้นๆ หรือบุคคลนั้น ถูกสาปแช่ง ตามปฐมกาล 12 ที่พระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมไว้ว่า "เราจะอวยพรผู้ที่อวยเจ้า(อิสราเอล) เราจะสาปผู้ที่แช่งเจ้า"

สิ่งที่เกิดขึ้นกับสหรัฐนั้นคือ เขาพยายามจะแบ่งแยกดินแดนโดยการตัดพื้นที่บางส่วนของอิสราเอลให้แก่ชาวอาหรับที่เรียกตัวเองว่า "ปาเลสไตน์" ซึ่งพระเจ้าไม่พอพระทัยอย่างมากกับสิ่งเหล่านี้ที่สหรัฐได้ทำกับชาติของพระองค์ โดยในสมัยจอร์จ ดับเบิ้ลยู บูช นั้นเข้าได้สนับสนุนเรื่องการแบ่งแยกดินแดนนั้น ภายหลังที่ บูชได้พูดเรื่องการแบ่งดินแดนนั้น6วัน เกิดพายุที่ทุกคนรู้กันเป็นอย่างดี คือ"แคทริน่า" ซึ่งสร้างความษสูญเสียแก่อเมริกาอย่างมีอาจบูรณะไหม่ได้จนถึงวันนี้ และเมื่อผู้นำสหรัฐนั้นได้พูดประเด็นนี้อีกครั้งหนึ่ง ในช่วงเดือนกันยายน 2008 นั้น ในวั้นที่29 เดือนเดียวกัน หุ้นดาวน์โจนส์ของสหรัฐ ล่วงลงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนถึง 777 จุด เป็นเหตุให้เศรษฐกิจของอเมริกาถูกเขย่าอย่างแรงอีกครั้ง... และนี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยที่ยกมาให้เห็นถึงความขาดปัญญาของผู้นำสหรัฐอเมริกา

ปัญหาที่ท่านเห็นในUSA นั้น มีเหตุมากจากบาปหลายๆอย่าง เช่น กฏหมายการทำแท้งอย่างเสรี สื่อHollywoodที่ถูกหว่านลงไปในใจของวัยรุ่น เรื่องเพศ ความรุนแรงและการทำลาย การออกกฏหมายอนุญาตเรื่องการแต่งงานของเพศเดียวกัน (ชายกับชาย หญิงกับหญิง) และอื่นๆในทำนองนี้ ... เป็นเหตุที่ทำให้พระเจ้า(แห่งอิสราเอล)เสียพระทัยอย่างมาก...

เรื่องที่สหรัฐกำลังพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้จบลงที่จอร์จ ดับเบิ้ลยู บูช เท่านั้น เขาได้ส่งต่อเจตนารมณ์นี้ให้แก่ บารัค โอบามาอีกด้วย เราผู้เชื่อทุกคนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอธิษฐานเผื่อประเทศอิสราเอลและอวยพร พระเจ้ามิได้หันหน้าหนีอิสราเอลตลอดไปอย่างที่หลายๆคนคิด แต่แผนการของพระเจ้ายังตั้งใจจะให้ชาวยิวกับชาวต่างชาติ(ประเทศอื่นๆที่ไม่ใช่อิสราเอล)เป็นคนใหม่คนเดียว (One new man)ในพระเยซูคริสต์ โดยพระเยซูคริสต์ เพื่อพระเยซูคริสต์ อีกด้วย...
สดุดี 122:6-9 กล่าวว่า
6 จงอธิษฐานขอสันติภาพให้แก่เยรูซาเล็มว่า "ขอบรรดาผู้ที่รักเธอ(อิสราเอล)จงจำเริญ
7 ขอสันติภาพจงมีอยู่ภายในกำแพงของเธอ และให้ความปลอดภัยอยู่ภายในวังของเธอ"
8 เพื่อเห็นแก่พี่น้องและมิตรสหาย ข้าพเจ้าจะพูดว่า "สันติภาพจงมีอยู่ภายในเธอ"
9 เพื่อเห็นแก่พระนิเวศของพระเจ้าของเรา ข้าพเจ้าจะหาความดีให้เธอ

อธิษฐานเผื่อสันติภาพในเยรูซาเล็ม Pray for Peace of Jerusalem

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สิ่งที่เรียกกันว่า "พระคุณ"

พระคุณคือความดีงาม พระสิริ คุณลักษณะของพระเจ้า ที่สำแดงแก่สิ่งต่างๆในแผ่นดินโลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แก่มนุษย์ และพระองค์ไม่สามารถปฏิเสธที่จะสำแดงพระคุณได้ ทุกครั้งที่พระองค์ตอบสนองต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะมีเกณฑ์ตั้งอยู่บนพระคุณเสมอเมื่อพระองค์ทรงกระทำทุกสิ่ง เมื่อพระเจ้าทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาบนโลก พระองค์ทรงกระทำด้วยพระคุณที่เหลือขนาดและเหนือความเข้าใจของพระองค์ เพื่อมนุษยชาติ ตามพระคำของพระเจ้าที่ว่า
"พระองค์ไม่สามารถเป็นพระองค์เองไม่ได้ (พระองค์จะไม่แส้งทำสิ่งต่างๆที่ตรงข้ามกับพระลักษณะของพระองค์เอง)"

หากเราจะใช้ความเข้าใจที่มีอย่างจำกัดของเราในการเข้าใจอานุภาพแห่งพระคุณของพระองค์ที่ไม่จำกัดนั้น เราคงจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตของเราเลยที่เดียว ถึงกระนั้นก็จะไม่สามารถเข้าใจพระองค์ให้หมดได้... ยอห์น 1:16
"เราทั้งหลายได้รับจากความบริบูรณ์ของพระองค์ เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ"

จะมีอะไรเข้าใจยากไปกว่าพระคุณของพระเจ้าและยังถูกซ้อนด้วยพระคุณอีกชั้นนึง พระคุณในพระเยซูคริสต์ทรงอุดมเหนือความเข้าใจของเราที่เป็นคนบาป โดยรอยแผลเฆี่ยน พระโลหิตที่หลั่งออกบนกางเขน ความเจ็บปวด ความเสียสละของพระองค์เองที่ประทานแก่เราความ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์... ใครเคยรับความเจ็บปวดหรือความอับอายเหมือนพระองค์หรือไม่?? แต่หวังในความรอด(โดยกางเขน)และการทรงไถ่(การเสด็จกลับมาครั้งที่สองเพื่อช่วยกู้ผู้เชื่อ) มีแก่เราทุกคนเนื่องด้วยพระเยซูคริสต์ที่เราเชื่อทรงมีชัยเหนือความตาย ความรักและพระคุณนั้น พระองค์ประทานแก่ผู้ที่เชื่อในพระองค์เท่าเที่ยมกันทุกคน

ดังนั้น พระคุณของพระเจ้าจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถอวดอ้างความดี ความชอบธรรม ความเก่งกาจ หรือความสำเร็จของเราได้ แต่ถ้าเราพยายามเป็นคนดีโดยข้อบังคับของโลก(ศีล จารีต กฏของศาสนา บทสวด หรือ อื่นๆ) นี้เพื่อจะได้มาซึ่งความดีงาม(เพื่อหวังจะเรียกรางวัลจากพระองค์) เราก็กลายเป็นคนที่หลุดไปจากพระคุณของพระเจ้าเสียแล้ว ... แต่เช่นนั้นจะเป็นอย่างไร... เราจะอยู่ในความบาปต่อไป เพื่อให้พระคุณมากยิ่งขึ้นอย่างนั้นหรือ?? อย่าเลย... จงมอบกายทุกส่วนของท่านเพื่อแก่การดีงามถวายแด่พระเจ้า(โรม6:13) ความสำคัญของพระคุณพระเจ้าอยู่ใน โรม6:14

"เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ"

ข้อนี้มีความหมายคือ ถ้าเราสำนึกต่อพระคุณของพระเยซูและพึ่งพาพระองค์ แทนการพึ่งปัญญาของโลกนี้(ธรรมบัญญัติ ข้อบังคับ ศีล ความรู้ของโลกนี้และอื่นๆในทำนองเดียวกัน) ความบาปก็ไม่สามารถครอบงำ(ควบคุมหรือเป็นนายเหนือ)ท่านได้

คำอธิษฐานของผมเผื่อท่านคือ "จงเป็นอิสระจากกฏหยุมหยิมของโลกและเข้าส่วนในพระคุณอันอุดมของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์เถิด และความบาปไม่สามารถครอบงำบุคคลที่อยู่ในพระคุณได้ เราสั่งอำนาจแห่งบาปให้ตายไปจากชีวิตของผู้เชื่อที่ยอมรับพระคุณพระเจ้า ในพระนามพระเยซูเจ้า อาเมน"

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ถอดความหมายความรักในบทเพลงซาโลมอน




บทเพลงซาโลมอน 8:6-7

6 จงแนบ(ความสนิทสนม:intimacy)ดิฉันไว้ให้เป็นเนื้อเดียว ดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย ความรักรุนแรงก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย และประกายแห่งความรักรุนแรงนั้นก็คือประกายเพลิง คือประกายเพลิงที่แสนรุนแรง

7 น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลัก ตายเสียได้ แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้น มาแลกกับความรักนั้น คนนั้นคงได้รับความหมิ่นประมาทจากคน ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง

1. การตีความหมายบทเพลงซาโลมอน

  • หลายคนที่ได้มีโอกาสอ่านบทเพลงซาโลมอนนั้นมีความรู้สึกเดียวกัน ถึงการยกย่องสรรเสริญความรักและความสวยงามของชีวิตแต่งงานที่ร้อนแรงดังความตาย ระหว่างกษัตริย์ซาโลมอนกับราชินีเชบาชาวเมืองชูเลม
  • เรายังสามารถมองความรักที่ร้อนแรงนี้ซึ่งเล็งถึงภาพระหว่าง พระเยซูเจ้าองค์เจ้าบ่าวกับคริสตจักร(ผู้เชื่อ)เจ้าสาวของพระคริสต์อีกด้วย(มิได้เกี่ยวกับเรื่องของกามแต่เมื่อเราเชื่อในพระบุตรแล้ว จิตวิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์)

2. ตราประทับและไฟของพระเจ้า

  • ในสมัยโบราญนั้นในเอกสารของพระราชาจะใช้ประทับตราด้วยแหวนสัญลักษณ์
    กดลงที่ขี้ผึ้งเหลว
  • ให้พระเจ้าเป็นตรา(ไฟของพระเจ้า)ที่ประทับลงบนขี้ผึ้ง(หัวใจ)ที่อ่อนโยนด้วยไฟของพระองค์ มีความหมายถึงการเชื่อฟัง การยกย่อง การเชื่อฟังในถ้อยคำของพระองค์ การวางจุดสนใจทั้งหมดในชีวิตของเราที่พระองค์
  • ไฟที่เหนือธรรมชาติของพระเจ้าถูกเติมลงในจิตวิญญาณของมนุษย์ดั่งไฟแห่งความรักซึ่งน้ำมากหลายก็มิอาจจะดับมันลงได้ ไฟนี้จะทำให้คุณเป็นนักวิงวอนที่เปี่ยมด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้าถ้ามันถูกจุดในใจของคุณ...
  • การเคลื่อนไหวในการอธิษฐานก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้นในฤทธิ์อำนาจและการสำแดงถึงสิทธิอำนาจไม่ได้หากคริสตจักรยุคสุดท้ายของพระเจ้าไม่เข้าใจถึงความสำคัญของไฟรักที่เราควรจะมีต่อพระเยซูคริสต์องค์เจ้าบ่าว
  • การนมัสการ การอธิษฐาน การอดอาหาร ที่ร้อนรนจะทำให้ไฟในชีวิตเราถูกจุดขึ้น เร้าร้อนเพื่อองค์พระบุตร ออกไปเป็นแสงสว่างของพระองค์ ด้วยความรักที่พระองค์ประทานให้เรานั้น ทำให้เราตกหลุมรักพระองค์ และโรคนี้มักจะรักษาไม่หาย(ไม่มีชื่อทางการแพทย์) ซึ่งมักจะเรียกได้ว่า "ภาวะไข้ใจ"

*** คำเตือน หากคุณหยุดอธิษฐาน และนมัสการ อ่านพระคำ และกลับใจใหม่ ความสนิทสนมกับพระเจ้าอาจลดน้อยลงได้ ขอเตือนคุณจากใจ "อย่ายอมแพ้ เพราะพระเจ้าตั้งเราไว้บนศิลาแห่งความรอด จงตั้งมั่นทุกๆวัน เพื่อพระเจ้า"

พูดด้วยความเชื่อตามนี้ "พระบิดาเจ้า ขอไฟของพระองค์ให้แก่ลูก เพื่อลูกจะรักพระองค์ด้วยกำลังจากพระองค์ เติมเต็มลูกด้วยพระวิญญาณของพระองค์ ชำระลูกด้วยด้วยพระโลหิตประเสริฐ สอนลูกที่จะอธิษฐาน นมัสการ ด้วยความรักจากใจของลูกถวายแด่พระองค์ ในนามพระเยซูเจ้า อาเมน"

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ความรักของพระเจ้านำเราใกล้พระองค์

พระเจ้าแสวงหาคนที่มีหัวใจแห่งการนมัสการเสมอมา ทุกยุคทุกสมัย พระองค์ทรงค้นหาแล้วสำรวจหัวใจของมนุษย์ที่แสวงหาพระองค์ ผู้ที่ฉลาดจะแสวงหาพระองค์และจะพบพระองค์ และพระองค์จะทรงบอกสิ่งที่ซ่อนเล้นอยู่ไว้แก่คนที่แสวงหาพระองค์ด้วยใจจริง (เยเรมีย์ 33:3 และ อิสยาห์ 55:6)
ใน เยเรมีย์ 17:10 พระเจ้าตรัสว่า "เราคือพระเจ้าตรวจค้นดูจิต และทดลองดูใจ เพื่อให้แก่ทุกคนตามพฤติการณ์ของเขา ตามผลแห่งการกระทำของเขา"
การแสวงหาพระองค์ หน้าต่อหน้าเป็นเหตุให้เราพบความสง่างามในพระองค์ เรียนรู้พระองค์ สัมผัสพระองค์ได้อย่างไม่มีความละอาย(สดุดี27:4) แต่ความบาปของเรานั้นยังเป็นอุปสรรคในการที่เราจะเข้าพระองค์ด้วยใจกล้าหาญ เนื่องจากพระเจ้าทรงบริสุทธิ์และเราเป็นคนบาป ความบาปนี่เองเป็นสิ่งที่ขวางระหว่างเรากับพระเจ้า แต่พระสัญญาพระองค์บอกเราไว้ชัดเจน เมื่อเราสารภาพบาป(ความอ่อนแอ หรือ พฤติกรรมบางอย่างที่ผิดต่อน้ำพระทัยพระเจ้า) พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมจะทรงยกความผิดบาปของเรา และจะทรงชำระเราจะการอธรรมทั้งสิ้น (1 ยอห์น1:9) ความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ชาตินั้น เหลือคำบรรยาย ผู้ใดจะหยั่งรู้ความรักมั่นคงอันอุดมของพระองค์? ดังในสดุดี136 ทั้งบทได้บอกกับเรา... (อ่านเอง)
อย่าให้ความบาปในชีวิตเราฟ้องผิดเราเป้นเวลานาน สิ่งเหล่านั้นที่เป็นความผิดพลาดในอดีตเป็นสิ่งที่ซาตานใช้และเอาขึ้นมาทำให้เราคิดถึงมันอยู่เสมอๆ แต่ให้เราเข้าใจความจริง ว่า เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ (ดูในยอห์น 17) ข้อความทั้งหมดในยอห์น 17 เป็นความรักที่พระเยซูมีต่อเรา และพระองค์ขอต่อพระบิดาเพื่อเราทุกคน
ให้เราบอกตัวเองพร้อมๆกันว่า " ฉันเป็นที่รักของพระเจ้า ฉันจะใช้ชีวิตในความจริง และความจริงที่กล่าวนั้น คือ พระเจ้ารักฉันอย่างที่ฉันเป็น พระองค์จะเปลี่ยนและชำระล้างฉันด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เพื่อนำฉันไปสู่ความดีเลิศในทุกทางของพระองค์ ทั้งฝ่ายร่างกาย ฝ่ายจิตใจ และจิตวิญญาณ ทุกวันเสมอไป ในนามพระเยซูเจ้า อาเมน"