จงลุกขึ้นและฉายแสง ในปี 2009
ปีแห่งความมีชัยในท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ
คำเผยพระวจนะโดย อัครทูต เจน ฮามอน
4 กุมภาพันธ์ /2009
ปีแห่งการบังเกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ -2009 จะเป็นปีที่น่าตื่นเต้น แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งท้าทาย
A Year of Holy Spirit Birthing– 2009 will be an exciting yet challenging year.
ปีแห่งการบังเกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ –ปี 2009 จะเป็นปีที่น่าตื่นเต้น แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทาย เลข 9 คือเลขแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ของประทานของพระวิญญาณมีเก้าอย่าง และยังเป็นหมายเลขของการกำเนิด หลังจากอุ้มท้องครบเก้าเดือนแม่ก็จะให้กำเนิดแก่บุตร ปีนี้จะเป็นปีแห่งการเปิดเผยการทรงสถิต ฤทธิ์เดช และจุดประสงค์ของพระเจ้า จะมีบางสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาในปีนี้ ได้แก่ นิมิตใหม่, ธุรกิจใหม่ๆ, การทรงเจิมใหม่, สายสัมพันธ์ใหม่ๆ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้, การสำแดงการอัศจรรย์ใหม่ๆ มีหลายสิ่งที่อยู่ในครรภ์มาเป็นเวลานานแล้วซึ่งจะปรากฏเป็นจริงขึ้นมาในปีนี้ เช่นเดียวกับการบังเกิดตามธรรมชาติ ซึ่งจะต้องมีอาการปวดครรภ์, การบีบคั้น, การบิดตัว และความเจ็บปวดบางอย่างเพื่อจะทำให้สิ่งต่างๆ บังเกิดขึ้น แต่เมื่อถึงเวลาที่มันกำเนิดขึ้นมาแล้ว เราก็จะจดจำช่วงเวลาทุกข์ยากลำบากไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เพราะความยินดีอันสุดประมาณที่อยู่ต่อหน้าเรานั้น!
ขณะที่ฉันได้อธิษฐานและพิจารณาถึงพระวจนะสำหรับปี 2009 อยู่นั้น มีข้อพระคัมภีร์ที่เด่นๆ อยู่สองตอนที่ผุดเข้ามาในความคิด ข้อพระคัมภีร์ตอนที่หนึ่งคือ
อิสยาห์ 60:1-3 “จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้าขึ้นมาเหนือเจ้า เพราะว่าดูเถิด ความมืดจะคลุมแผ่นดินโลก และความมืดทึบคลุมชนชาติทั้งหลาย แต่พระเจ้าจะทรงขึ้นมาเหนือเจ้า และเขาจะเห็นพระสิริของพระองค์เหนือเจ้า และบรรดาประชาชาติจะมายังความสว่างของเจ้า และพระราชาทั้งหลาย ยังความสุกใสแห่งการขึ้นของเจ้า”
คำว่า ลุกขึ้นในภาษาฮีบรู ก็หมายถึงการลุกขึ้น – แต่ในภาษากรีก คำนี้หมายถึงฤทธิ์เดชในการฟื้นสภาพจากความตายมาสู่ชีวิต ...egeiro – ปลุก, เร้า (ความหมายตรงตัวคือ จากการหลับ, จากการนั่ง หรือการนอน, จากโรคภัย, จากความตาย; เชิงสัญลักษณ์คือ จากความสับสนคลุมเครือ, เฉื่อยชา, ซากปรักหักพัง, การไม่มีตัวตน): การยืนขึ้น การอัศจรรย์หลายครั้งเกิดขึ้นได้ด้วยคำว่า “จงลุกขึ้น” ปีนี้จะเป็นปีแห่งการอัศจรรย์มากมาย เมื่อเรายอมลุกขึ้น!
ฉายแสง หมายถึงการส่องแสง, การได้รับความสว่าง, เช้าตรู่, การจุดไฟ, การโชติช่วงด้วยความมั่งคั่ง ในภาษาอังกฤษ หมายถึง การส่องความสว่างออกไป, การทำสิ่งที่เหนือกว่า, การมีบุคลิกภาพที่เปล่งรัศมี
ความมืดในภาษาฮีบรูคือคำว่า Choshek หมายถึง ความมืด; ความทุกข์, การทำลาย, ความตาย, ความไม่รู้, ความเศร้า, ความชั่วร้าย: จากรากศัพท์ของคำว่า ปิดกั้นความสว่าง คำว่าความมืดทึบแปลว่า ความเศร้าโศรก, หยาบ, มืดครื้ม เป็นคำที่ใช้อธิบายถึง ความปั่นป่วนวุ่นวาย หรือลมพายุ
แต่พระผู้เป็นเจ้าจะขึ้นมาเหนือเจ้า – เป็นภาพเปรียบในภาษาฮีบรู ถึงการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นมาขับไล่ความมืดในตอนรุ่งเช้า
...และพระสิริของพระองค์จะขึ้นมาเหนือเจ้า - Kabowd คือคำฮีบรู ซึ่งแปลว่า ความงดงาม, เกียรติ, หนักอึ้งไปด้วยความมั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์ Shekinah (เชคีนาห์) คือศัพท์อีกคำหนึ่งที่แปลว่า พระสิริ ซึ่งหมายถึงการเปิดเผยพระลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า
ปีนี้จะเป็นปีเราจะได้เห็นพระสิริของพระเจ้าในมิติใหม่ ท่ามกลางความมืด
เป็นที่ชัดเจนว่า เรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่ความมืดกับความสว่างจะเกิดขึ้นพร้อมกันในโลก จะมีการสั่นสะเทือนอย่างหนักในราชอาณาจักรต่างๆ ของโลกนี้ แต่คริสตจักรจะผงาดขึ้นสู่ช่วงเวลาแห่งชัยชนะและการเก็บเกี่ยวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด
ข้อพระคัมภีร์ที่โดดเด่นอีกตอนหนึ่งสำหรับปีนี้คือ 2 พงศาวดาร 20.20 ซึ่งเป็นคำเผยพระวจนะสำหรับช่วงที่กำลังมีสงครามใหญ่
2 พศด. 20:20 20 และเขาทั้งหลายได้ลุกขึ้นแต่เช้าและออกไปในถิ่นทุรกันดารถึงเทโคอา และเมื่อเขาออกไป เยโฮชาฟัทประทับยืนและตรัสว่า "ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่ จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ และท่านจะสำเร็จผล"
ฉันรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งที่ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นตัวเลข 20:20 ฉันเชื่อว่า ในท่ามกลางภาวะแห่งความมืดอันใหญ่หลวงในแผ่นดินโลก พระเจ้าทรงประสงค์ให้ประชากรของพระองค์มีนิมิต 20/20 เพื่อจะมองเห็นอนาคตและปลายทางเพื่อจุดประสงค์สำหรับแผ่นดินของพระเจ้า พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรามีนิมิตฝ่ายวิญญาณ 20/20 สำหรับปี 2009 ซึ่งก้าวผ่านพ้นความกลัวไปสู่ความเชื่อ นี่เป็นช่วงเวลาสดใหม่แห่งความเชื่อในพระเจ้า ซึ่งถ้าปราศจากความเชื่อเสียแล้วก็ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้ และเป็นฤดูกาลที่ประชากรของพระเจ้าจะยึดมั่นและทำสงครามด้วยถ้อยคำเผยพระวจนะ ซึ่งจะเป็นสิ่งปลดปล่อยอนาคตบั้นปลายและความมั่งคั่งเข้ามาสู่ชีวิตของเรา
เรื่องราวแห่งชัยชนะของเยโฮชาฟัทต่อหน้าปฏิปักษ์ที่มีกำลังใหญ่หลวง ข้อพระคัมภีร์นี้เกิดขึ้นในวาระที่มืดมิดที่สุด และเผชิญกับการท้าทายหนักหน่วงที่สุดในประวัดิศาสตร์ของชนชาติยูดาห์ มันเป็นภาพเล็งถึงสภาพการณ์ของประชากรของพระเจ้าในทุกวันนี้ ซึ่งกำลังเผชิญกับความมืดมิด รอบล้อมด้วยบรรดาประชาชาติที่ชั่วร้าย แต่ในท่ามกลางสถานการณ์เช่นนั้น มันกลายเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง และเป็นช่วงเวลาที่สามารถเก็บรวบรวมทรัพย์สินจากศัตรูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ และชัยชนะนั้นเกิดขึ้นได้เพราะการแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า เพราะคำเผยพระวจนะ และการทำสงครามฝ่ายวิญญาณ กับการสรรเสริญ ฉันเชื่อว่ามีเครื่องบ่งชี้เชิงเผยพระวจนะหลายประการ ซึ่งทำให้เรารู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรบ้างในทุกวันนี้เพื่อจะประสบชัยชนะได้ เช่นเดียวกันกับบรรดาชนเผ่าอิสสาคาร์ ซึ่งรู้จักวาระ ว่าเมื่อใดควรทำสิ่งใด (1 พศด. 12:32)
คำเผยพระวจนะโดย อัครทูต เจน ฮามอน
4 กุมภาพันธ์ /2009
ปีแห่งการบังเกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ -2009 จะเป็นปีที่น่าตื่นเต้น แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งท้าทาย
A Year of Holy Spirit Birthing– 2009 will be an exciting yet challenging year.
ปีแห่งการบังเกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ –ปี 2009 จะเป็นปีที่น่าตื่นเต้น แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทาย เลข 9 คือเลขแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ของประทานของพระวิญญาณมีเก้าอย่าง และยังเป็นหมายเลขของการกำเนิด หลังจากอุ้มท้องครบเก้าเดือนแม่ก็จะให้กำเนิดแก่บุตร ปีนี้จะเป็นปีแห่งการเปิดเผยการทรงสถิต ฤทธิ์เดช และจุดประสงค์ของพระเจ้า จะมีบางสิ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาในปีนี้ ได้แก่ นิมิตใหม่, ธุรกิจใหม่ๆ, การทรงเจิมใหม่, สายสัมพันธ์ใหม่ๆ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้, การสำแดงการอัศจรรย์ใหม่ๆ มีหลายสิ่งที่อยู่ในครรภ์มาเป็นเวลานานแล้วซึ่งจะปรากฏเป็นจริงขึ้นมาในปีนี้ เช่นเดียวกับการบังเกิดตามธรรมชาติ ซึ่งจะต้องมีอาการปวดครรภ์, การบีบคั้น, การบิดตัว และความเจ็บปวดบางอย่างเพื่อจะทำให้สิ่งต่างๆ บังเกิดขึ้น แต่เมื่อถึงเวลาที่มันกำเนิดขึ้นมาแล้ว เราก็จะจดจำช่วงเวลาทุกข์ยากลำบากไม่ได้เสียด้วยซ้ำ เพราะความยินดีอันสุดประมาณที่อยู่ต่อหน้าเรานั้น!
ขณะที่ฉันได้อธิษฐานและพิจารณาถึงพระวจนะสำหรับปี 2009 อยู่นั้น มีข้อพระคัมภีร์ที่เด่นๆ อยู่สองตอนที่ผุดเข้ามาในความคิด ข้อพระคัมภีร์ตอนที่หนึ่งคือ
อิสยาห์ 60:1-3 “จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้าขึ้นมาเหนือเจ้า เพราะว่าดูเถิด ความมืดจะคลุมแผ่นดินโลก และความมืดทึบคลุมชนชาติทั้งหลาย แต่พระเจ้าจะทรงขึ้นมาเหนือเจ้า และเขาจะเห็นพระสิริของพระองค์เหนือเจ้า และบรรดาประชาชาติจะมายังความสว่างของเจ้า และพระราชาทั้งหลาย ยังความสุกใสแห่งการขึ้นของเจ้า”
คำว่า ลุกขึ้นในภาษาฮีบรู ก็หมายถึงการลุกขึ้น – แต่ในภาษากรีก คำนี้หมายถึงฤทธิ์เดชในการฟื้นสภาพจากความตายมาสู่ชีวิต ...egeiro – ปลุก, เร้า (ความหมายตรงตัวคือ จากการหลับ, จากการนั่ง หรือการนอน, จากโรคภัย, จากความตาย; เชิงสัญลักษณ์คือ จากความสับสนคลุมเครือ, เฉื่อยชา, ซากปรักหักพัง, การไม่มีตัวตน): การยืนขึ้น การอัศจรรย์หลายครั้งเกิดขึ้นได้ด้วยคำว่า “จงลุกขึ้น” ปีนี้จะเป็นปีแห่งการอัศจรรย์มากมาย เมื่อเรายอมลุกขึ้น!
ฉายแสง หมายถึงการส่องแสง, การได้รับความสว่าง, เช้าตรู่, การจุดไฟ, การโชติช่วงด้วยความมั่งคั่ง ในภาษาอังกฤษ หมายถึง การส่องความสว่างออกไป, การทำสิ่งที่เหนือกว่า, การมีบุคลิกภาพที่เปล่งรัศมี
ความมืดในภาษาฮีบรูคือคำว่า Choshek หมายถึง ความมืด; ความทุกข์, การทำลาย, ความตาย, ความไม่รู้, ความเศร้า, ความชั่วร้าย: จากรากศัพท์ของคำว่า ปิดกั้นความสว่าง คำว่าความมืดทึบแปลว่า ความเศร้าโศรก, หยาบ, มืดครื้ม เป็นคำที่ใช้อธิบายถึง ความปั่นป่วนวุ่นวาย หรือลมพายุ
แต่พระผู้เป็นเจ้าจะขึ้นมาเหนือเจ้า – เป็นภาพเปรียบในภาษาฮีบรู ถึงการที่ดวงอาทิตย์ขึ้นมาขับไล่ความมืดในตอนรุ่งเช้า
...และพระสิริของพระองค์จะขึ้นมาเหนือเจ้า - Kabowd คือคำฮีบรู ซึ่งแปลว่า ความงดงาม, เกียรติ, หนักอึ้งไปด้วยความมั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์ Shekinah (เชคีนาห์) คือศัพท์อีกคำหนึ่งที่แปลว่า พระสิริ ซึ่งหมายถึงการเปิดเผยพระลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า
ปีนี้จะเป็นปีเราจะได้เห็นพระสิริของพระเจ้าในมิติใหม่ ท่ามกลางความมืด
เป็นที่ชัดเจนว่า เรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่ความมืดกับความสว่างจะเกิดขึ้นพร้อมกันในโลก จะมีการสั่นสะเทือนอย่างหนักในราชอาณาจักรต่างๆ ของโลกนี้ แต่คริสตจักรจะผงาดขึ้นสู่ช่วงเวลาแห่งชัยชนะและการเก็บเกี่ยวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด
ข้อพระคัมภีร์ที่โดดเด่นอีกตอนหนึ่งสำหรับปีนี้คือ 2 พงศาวดาร 20.20 ซึ่งเป็นคำเผยพระวจนะสำหรับช่วงที่กำลังมีสงครามใหญ่
2 พศด. 20:20 20 และเขาทั้งหลายได้ลุกขึ้นแต่เช้าและออกไปในถิ่นทุรกันดารถึงเทโคอา และเมื่อเขาออกไป เยโฮชาฟัทประทับยืนและตรัสว่า "ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่ จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ และท่านจะสำเร็จผล"
ฉันรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งที่ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้เป็นตัวเลข 20:20 ฉันเชื่อว่า ในท่ามกลางภาวะแห่งความมืดอันใหญ่หลวงในแผ่นดินโลก พระเจ้าทรงประสงค์ให้ประชากรของพระองค์มีนิมิต 20/20 เพื่อจะมองเห็นอนาคตและปลายทางเพื่อจุดประสงค์สำหรับแผ่นดินของพระเจ้า พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรามีนิมิตฝ่ายวิญญาณ 20/20 สำหรับปี 2009 ซึ่งก้าวผ่านพ้นความกลัวไปสู่ความเชื่อ นี่เป็นช่วงเวลาสดใหม่แห่งความเชื่อในพระเจ้า ซึ่งถ้าปราศจากความเชื่อเสียแล้วก็ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้ และเป็นฤดูกาลที่ประชากรของพระเจ้าจะยึดมั่นและทำสงครามด้วยถ้อยคำเผยพระวจนะ ซึ่งจะเป็นสิ่งปลดปล่อยอนาคตบั้นปลายและความมั่งคั่งเข้ามาสู่ชีวิตของเรา
เรื่องราวแห่งชัยชนะของเยโฮชาฟัทต่อหน้าปฏิปักษ์ที่มีกำลังใหญ่หลวง ข้อพระคัมภีร์นี้เกิดขึ้นในวาระที่มืดมิดที่สุด และเผชิญกับการท้าทายหนักหน่วงที่สุดในประวัดิศาสตร์ของชนชาติยูดาห์ มันเป็นภาพเล็งถึงสภาพการณ์ของประชากรของพระเจ้าในทุกวันนี้ ซึ่งกำลังเผชิญกับความมืดมิด รอบล้อมด้วยบรรดาประชาชาติที่ชั่วร้าย แต่ในท่ามกลางสถานการณ์เช่นนั้น มันกลายเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง และเป็นช่วงเวลาที่สามารถเก็บรวบรวมทรัพย์สินจากศัตรูได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ และชัยชนะนั้นเกิดขึ้นได้เพราะการแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า เพราะคำเผยพระวจนะ และการทำสงครามฝ่ายวิญญาณ กับการสรรเสริญ ฉันเชื่อว่ามีเครื่องบ่งชี้เชิงเผยพระวจนะหลายประการ ซึ่งทำให้เรารู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรบ้างในทุกวันนี้เพื่อจะประสบชัยชนะได้ เช่นเดียวกันกับบรรดาชนเผ่าอิสสาคาร์ ซึ่งรู้จักวาระ ว่าเมื่อใดควรทำสิ่งใด (1 พศด. 12:32)
1) วาระแห่งการปฏิรูปใหม่: เพื่อปรับดุล และปรับเปลี่ยนนิยามใหม่ เพื่อรับเอาน้ำองุ่นใหม่ เยโฮชาฟัทเป็นนักปฏิรูปคนหนึ่งในยูดาห์ เรื่องราวของท่านบันทึกไว้ใน 2 พงศาวดาร 17-20
ก) ท่านเป็นโอรสของกษัตริย์อาสา – ซึ่งพระนามแปลว่า “ผู้รักษา” – ท่านดำเนินตามรอยพระบาทบิดาของท่านผู้ซึ่งเป็นนักปฏิรูปด้วยเช่นกัน ท่านบังเกิดมาในบรรยากาศแห่งการเยียวยารักษาประเทศชาติ และนำพาประชากรของพระเจ้ากลับมาสู่พันธสัญญา นี่คือวาระแห่งการส่งต่อฤทธิ์เดชไปสู่คนรุ่นใหม่ (Generational Empowerment)– เป็นการรับช่วงต่อวาระแห่งการอธิษฐานและวิงวอนจากคนรุ่นก่อน พร้อมกับการรื้อฟื้นความชอบธรรม และทำการปฏิรูปคริสตจักร
ข) ท่านรื้อทิ้งบรรดาแท่นบูชาของพระต่างชาติ และจัดระเบียบการนมัสการที่ชอบธรรมขึ้นมาแทน
ค) ท่านแต่งตั้งบรรดาผู้พิพากษาและนักกฎหมายที่ชอบธรรมให้ทำหน้าที่ประจำการ ทุกวันนี้ยังคงมีการต่อสู้อย่างเข้มข้นในด้านการศาลในแผ่นดินของเรา
ง) ท่านแต่งตั้งผู้นำฝ่ายวิญญาณที่ชอบธรรมให้ทำหน้าที่ ผู้นำที่คดโกงและชั่วร้าย จะยังคงถูกเปิดโปงต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ผู้นำที่ชอบธรรมสามารถลุกขึ้นมาได้
ปีนี้จะเป็นปีแห่งการบังเกิดแบบสดใหม่ และการเทลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพื่อพระพรส่วนตัวเท่านั้น แต่เพื่อจุดประสงค์แห่งการปฏิรูป นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องไม่หวาดกลัวที่จะรับเอาน้ำองุ่นใหม่ ข้อพระคัมภีร์บอกเราว่า เราไม่สามารถเอาน้ำองุ่นใหม่ไปใส่ในถุงหนังเก่า ไม่เช่นนั้นถูกหนังนั้นจะระเบิดและทุกอย่างจะสูญเสียไป นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องรู้จักสังเกตเห็นถึงระบบถุงหนังเก่าให้ดี คือระบบศาสนา ที่กำลังทำการของมันอยู่เพื่อปกป้องไม่ให้คริสตจักรเข้ามารับเอาน้ำองุ่นใหม่
คริสตจักรกำลังอยู่ในยุคแห่งการปฏิรูปเป็นครั้งที่สาม ซึ่งหมายถึง เรากำลังอยู่ในช่วงที่เข้มข้นในการกำหนดบทบาทใหม่และพลังกระทบที่คริสตจักรมีต่อราชอาณาจักรในโลกนี้ จะมีการกำหนดนิยามใหม่สำหรับนิมิต โครงสร้าง ทรัพยากรด้านการเงิน ยุทธวิธี และรูปแบบของการนมัสการ ซึ่งเราต้องเตรียมพร้อมไว้
2) วาระแห่งการจัดการกับสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้
ข) ท่านรื้อทิ้งบรรดาแท่นบูชาของพระต่างชาติ และจัดระเบียบการนมัสการที่ชอบธรรมขึ้นมาแทน
ค) ท่านแต่งตั้งบรรดาผู้พิพากษาและนักกฎหมายที่ชอบธรรมให้ทำหน้าที่ประจำการ ทุกวันนี้ยังคงมีการต่อสู้อย่างเข้มข้นในด้านการศาลในแผ่นดินของเรา
ง) ท่านแต่งตั้งผู้นำฝ่ายวิญญาณที่ชอบธรรมให้ทำหน้าที่ ผู้นำที่คดโกงและชั่วร้าย จะยังคงถูกเปิดโปงต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ผู้นำที่ชอบธรรมสามารถลุกขึ้นมาได้
ปีนี้จะเป็นปีแห่งการบังเกิดแบบสดใหม่ และการเทลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพื่อพระพรส่วนตัวเท่านั้น แต่เพื่อจุดประสงค์แห่งการปฏิรูป นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องไม่หวาดกลัวที่จะรับเอาน้ำองุ่นใหม่ ข้อพระคัมภีร์บอกเราว่า เราไม่สามารถเอาน้ำองุ่นใหม่ไปใส่ในถุงหนังเก่า ไม่เช่นนั้นถูกหนังนั้นจะระเบิดและทุกอย่างจะสูญเสียไป นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องรู้จักสังเกตเห็นถึงระบบถุงหนังเก่าให้ดี คือระบบศาสนา ที่กำลังทำการของมันอยู่เพื่อปกป้องไม่ให้คริสตจักรเข้ามารับเอาน้ำองุ่นใหม่
คริสตจักรกำลังอยู่ในยุคแห่งการปฏิรูปเป็นครั้งที่สาม ซึ่งหมายถึง เรากำลังอยู่ในช่วงที่เข้มข้นในการกำหนดบทบาทใหม่และพลังกระทบที่คริสตจักรมีต่อราชอาณาจักรในโลกนี้ จะมีการกำหนดนิยามใหม่สำหรับนิมิต โครงสร้าง ทรัพยากรด้านการเงิน ยุทธวิธี และรูปแบบของการนมัสการ ซึ่งเราต้องเตรียมพร้อมไว้
2) วาระแห่งการจัดการกับสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้
2 พศด. 20: 1 และอยู่มาภายหลัง คนโมอับและคนอัมโมน และคนเมอูนีบางคนพร้อมกับเขาทั้งหลาย ได้ขึ้นมาทำสงครามกับเยโฮชาฟัท 2 มีคนมาทูลเยโฮชาฟัทว่า "มีคนหมู่ใหญ่มาสู้รบกับฝ่าพระบาทจากเอโดม จากฟากทะเลข้างโน้น และดูเถิด เขาทั้งหลายอยู่ในฮาซาโซนทามาร์" (คือ เอนกาดี) 3 และเยโฮชาฟัทก็กลัว และมุ่งแสวงหาพระเจ้า และได้ทรงประกาศให้อดอาหารทั่วยูดาห์ 4 และยูดาห์ได้ชุมนุมกันแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาทั้งหลายพากันมาจากหัวเมืองทั้งสิ้นแห่งยูดาห์ เพื่อแสวงหาพระเจ้า
ในช่วงต้นปี 2008 พระเจ้าตรัสกับฉัน และให้ฉันเผยพระวจนะว่า “จงเลิกบ่นเรื่องการเขย่าได้แล้ว เพราะการเขย่านั่นแหละคือคำตอบของคำอธิษฐานของเจ้า” เรากำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความมืดสำหรับโลก เราจะต้องเตรียมใจและความเชื่อของเราให้พร้อมสำหรับการเขย่าซึ่งจะยังเกิดขึ้นต่อเนื่องต่อไปอีกในหลายๆ ด้าน แต่จงรักษาทัศนะที่เห็นแก่แผ่นดินของพระเจ้าไว้เสมอ ในสมัยของเยโฮชาฟัทนั้น การสงครามเป็นเรื่องเกี่ยวกับการนมัสการ ความมั่งคั่ง และอำนาจ การสงครามในทุกวันนี้ก็เช่นกัน ทุกอย่างที่หวั่นไหวได้กำลังถูกเขย่า เพื่อให้สิ่งที่ไม่หวั่นไหวดำรงอยู่ (ฮีบรู 12:27)
การเขย่าทางด้านเศรษฐกิจ: เห็นได้ชัดว่า เมื่อเราก้าวออกจากปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤติเศรษฐกิจเริ่มรุนแรงขึ้นนั้น เราจะเห็นว่าสงครามที่เกิดขึ้นเป็นการต่อสู้เพื่อความมั่งคั่ง ในตอนต้นปี 2008 ผู้เผยพระวจนะจิม ลาฟูน ได้เผยถ้อยคำที่ได้รับจากพระเจ้าทางนิมิตว่า อเมริกากำลังก้าวสู่ภาวะหดตัวทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ สถานการณ์ต่างๆ ในโลกจะย่ำแย่ลงก่อนที่เศรษฐกิจจะดีขึ้น พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเราในการจัดการกับวิญญาณแห่งความรักเงินทอง ธรรมิกชนจะต้องตัดขาดจากวิญญาณนี้ให้ได้ เพื่อจะสามารถรอดพ้นได้ในวันเวลาที่กำลังจะมาถึง ในท่ามกลางความยากลำบากนี้ ทรัพย์สินเป็นอันมากจะหายไป แต่ก็จะมีโอกาสที่เราจะได้รับทรัพย์สินมากมายด้วย นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการถ่ายโอนความมั่งคั่งไปสู่ประชากรของพระเจ้า เท่าที่เคยปรากฏมา มันเป็นเวลาที่เราจะต้องคิดแบบนอกกรอบ และความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ จะบังเกิดขึ้นท่ามกลางคริสตจักร
ความไม่สงบด้านการเมือง: วิญญาณแห่งปฎิปักษ์พระคริสต์กำลังปรากฏขึ้นในโลก เราจะยังได้เห็นผู้นำแบบเผด็จการ ทรราชย์ และคอมมิวนิสต์ใหม่ ก้าวสู่ตำแหน่งในโลก การสงครามช่วงนี้เป็นการต่อสู้ในเรื่องอำนาจ ประชาชาติต่างๆ ร่วมเป็นพันธมิตรกันเพื่อกระทำความชั่วร้าย การเขย่าทางเศรษฐกิจจะทำให้หลายประเทศซึ่งเคยเป็นศัตรูกันได้กลับมาทำความตกลงเป็นพันธมิตรกัน
ในสหรัฐอเมริกา เรามีโอกาสได้อธิษฐานเพื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงจิตใจของประธานาธิบดีคนใหม่ของเราคือ บารัค โอบาม่า ท่าทีของเขาต่อประเด็นทางด้านศีลธรรมเป็นเรื่องที่น่ากังวลเป็นหลักสำหรับความชอบธรรมของประเทศของเรา แต่ชื่อของเขามีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ด้วย คือแม่ทัพบารัค ผู้เป็นคนร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับเดโบราห์ ในช่วงเวลาวิกฤติซึ่งประเทศชาติกำลังตกอยู่ใต้การกดขี่ข่มเหง ชื่อของเขาหมายถึง การส่องแสง การส่องความสว่าง แสงวาววับ วูบวาบของดาบ เราจะต้องอธิษฐานขอให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเขาได้สำเร็จเป็นจริง เพื่อให้เขาเป็นดาบในพระหัตถ์ของพระเจ้าในวันเวลาที่กำลังจะมาถึง ถ้าคนดียังสามารถกลับไปกระทำความชั่วได้ คนที่ศีลธรรมล้มเหลวก็อาจหันกลับมาแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้องได้ บางทีพระเจ้าอาจสามารถใช้เขาให้เป็นความสว่างในช่วงเวลาแห่งความมืดมิดก็ได้
การก่อการร้ายจะยังคงมีเพิ่มขึ้นต่อไปอีก: ฉันรู้สึกว่าเรายังจะเห็นคลื่นแห่งการก่อการร้ายเกิดขึ้นในโลกอีกระลอกหนึ่ง แม้แต่ในแผ่นดินสหรัฐฯ นี่เป็นการสงครามเพื่อต่อสู้ช่วงชิงด้านการนมัสการ และวิญญาณแห่งอิสลามซึ่งเชื่อมโยงกับวิญญาณแห่งการรักเงินและการเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ อิสราเอลจะเป็นจุดสนใจที่สำคัญในปีนี้ ขณะที่กลุ่มหัวรุนแรงพยายามช่วงชิงความได้เปรียบเหนืออิสราเอล เราจะต้องอธิษฐานขอให้ผู้นำสหรัฐ (รวมทั้งประธานาธิบดีคนใหม่) กับอิสราเอลยังดำรงความเป็นพันธมิตรกันไว้ และขอให้รัฐบาลอิสราเอลมีสติปัญญาในการดำเนินยุทธวิธี คริสตจักรจะต้องรู้จักแยกแยะระหว่างวิญญาณและระบบของอิสลาม กับคนมุสลิม เพราะว่าการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ในวาระที่จะมาถึงนี้จะเกิดขึ้นท่ามกลางประชากรกลุ่มนี้
เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องสังเกตว่า ชื่อของเยโฮชาฟัท นั้นแปลว่า “พระเยโฮวาห์ได้พิพากษาแล้ว” เป็นเพราะเยโฮชาฟัทตั้งหลักได้ถูก ศัตรูของท่านจึงถูกพิพากษาก่อนจะมีการทำสงครามด้วยซ้ำ พระเจ้ากำลังทรงพิพากษาการรักเงินทอง ปฏิปักษ์พระคริสต์ และระบบของอิสลาม เราต้องตระหนักว่า เราไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวการพิพากษา เพราะพระเจ้าทรงพิพากษาศัตรูของเรา และกำหนดให้พวกเขาพ่ายแพ้ไปแล้ว การพิพากษาอาจเป็นสิ่งที่ดีได้ เพราะเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่ธรรมิกชนขององค์ผู้สูงสุด ด้วยว่าถึงเวลาแล้วที่จะครอบครองราชอาณาจักร! (ดาเนียล 7:21)
3) เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะรวบรวมและเชื่อมโยงกันเพื่อแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า
จากเรื่องราวนี้ ผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กทุกคน ได้เข้ามารวมกันในช่วงเวลาคับขันเพื่อแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า ขณะนี้ มีอันตรายใหญ่หลวงที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างที่จะเกิดกระบวนการปฏิรูปธรรมิกชน ซึ่งผู้เชื่อกำลังค้นพบสิทธิอำนาจและของประทานในชีวิตของตน และรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่แค่ไปคริสตจักรเท่านั้น แต่ทุกคนเป็นคริสตจักรอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ความเข้าใจเช่นนี้อาจทำให้หลายคนตัดสินใจแยกตัวออกจากคริสตจักรท้องถิ่นและพระนิเวศของพระเจ้าไปอยู่ตามลำพัง นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราต้องยึดมั่นในสายสัมพันธ์และมีความสัตย์ซื่อที่จะร่วมประชุมกับกลุ่มผู้เชื่ออยู่เสมอ จงระวังการแยกตัวไปอยู่เพียงลำพัง จงระวังการที่ศัตรูทำให้เรากระจัดกระจายออกจากกัน อิสยาห์ 65:8 กล่าวว่า เราพบน้ำองุ่นใหม่ได้จากพวงองุ่น และอย่าทำลายมันเสียเพราะมีพระพรอยู่ในนั้น เราต้องเข้าใจถึงพระพรที่เกิดขึ้นจากร่วมประชุมกันเป็นประจำ
4) เป็นวาระที่จะรับเอายุทธวิธีในการทำสงครามเชิงเผยพระวจนะ
4) เป็นวาระที่จะรับเอายุทธวิธีในการทำสงครามเชิงเผยพระวจนะ
ยาฮาซีเอล ซึ่งชื่อเขาแปลว่า พระเจ้าทอดพระเนตรเห็น เริ่มต้นแจ้งยุทธวิธีในการทำสงคราม:
2 พศด. 20:12-19 "12 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงกระทำการพิพากษาเหนือเขาหรือ เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีฤทธิ์ที่จะต่อสู้คนหมู่มหึมานี้ ซึ่งกำลังมาต่อสู้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าจะกระทำประการใด แต่ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งที่พระองค์" 13 ในระหว่างนั้นคนทั้งปวงของยูดาห์ก็ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าพร้อมกับภรรยาและลูกหลานของเขา 14 และพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาสถิตกับยาฮาซีเอลบุตรเศคาริยาห์ ผู้เป็นบุตรเบไนยาห์ ผู้เป็นบุตรเยอีเอล ผู้เป็นบุตรมัทธานิยาห์เป็นคนเลวีเชื้อสายของอาสาฟ เมื่อท่านอยู่ท่ามกลางที่ประชุมนั้น 15 และเขาได้พูดว่า "ยูดาห์ทั้งปวงและชาวเยรูซาเล็มทั้งหลายกับกษัตริย์เยโฮชาฟัท ขอจงฟัง พระเจ้าตรัสดังนี้แก่ท่านทั้งหลายว่า 'อย่ากลัวเลย และอย่าท้อถอยด้วยคนหมู่มหึมานี้เลย เพราะว่าการสงครามนั้นไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของพระเจ้า 16 พรุ่งนี้เช้าจงลงไปต่อสู้กับเขา ดูเถิด เขาจะขึ้นมาทางขึ้นที่ตำบลศิส ท่านทั้งหลายจะพบเขาที่ปลายหุบเขา ทางตะวันออกของถิ่นทุรกันดารเยรูเอล 17 ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องสู้รบในสงครามครั้งนี้ โอ ยูดาห์ และเยรูซาเล็ม จงเข้าประจำที่ ยืนนิ่งอยู่และดูชัยชนะของพระเจ้าเพื่อท่าน' อย่ากลัวเลย อย่าท้อถอย พรุ่งนี้จงออกไปสู้กับเขาและพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน"
แผนการรบของพวกเขา ยังคงเป็นวิธีการรบที่เหมาะสมสำหรับในทุกวันนี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในโลกตอนนี้ ฉันรู้สึกสัมผัสว่า บรรดาหลักการทำสงครามฝ่ายวิญญาณต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้มาในช่วง 15-20 ปีที่ผ่านมานั้น กำลังจะกลายมาเป็นจุดสนใจใหม่ ราวกับว่าที่เราได้เรียนมานั้นเป็นเหมือนกันฝึกฝนเพื่อวาระเวลาในปัจจุบันนี้ จะมีการเน้นครั้งใหม่และทิศทางใหม่สำหรับเราเพื่อให้สามารถทำสงครามได้อย่างมีชัยชนะในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้
ก) เอาชนะความกลัว ไม่เช่นนั้นมันจะเอาชนะเรา “อย่ากลัว หรืออย่าขยาดเลย….” คำฮีบรูที่แปลว่า กลัว หมายถึง การกลัว ทำให้ตกใจ ทำให้หวาดหวั่น คำฮีบรูที่แปลว่า ขยาด หมายถึง การหมดเรี่ยวแรง แตกหักเพราะความรุนแรง ความสับสนและความกลัว ทำให้พ่ายแพ้ ท้อใจและหวาดผวา นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องจัดการกับวิญญาณแห่งความกลัวอย่างปราศจากความปรานี และเติมใจให้เต็มไปด้วยความแอในพระเจ้า ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้เรากลายเป็นอัมพาต และไม่เกิดผลเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า
ข) ระบุตัวและตำแหน่งที่อยู่ของศัตรู ต่อไปนี้คือศัตรูของ เยโฮชาฟัท:
1) โมอับ
เป็นกลุ่มชนที่สืบเชื้อสายมาจากการล่วงประเวณีของโลต บุตรสาวของโลตมอมเหล้าและล่อหลอกให้ท่านนอนด้วย ชาวโมอับถูกเรียกว่า คนของพระเคโมช การนมัสการพระเคโมชกระทำโดยการบูชายัญเด็กในกองไฟ กษัตริย์โมอับที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ บาลัค ซึ่งชื่อของเขาแปลว่า ผู้ทำลาย ถึงแม้เขาไม่สามารถล่อหลอกบาลาอัมผู้เผยพระวจนะเท็จให้สาปแช่งประชากรของพระเจ้าได้ บาลาอัมก็บอกใบ้ให้บาลัคล่อลวงบรรดาประชากรของพระเจ้าให้กระทำบาป และแต่งงานกับพวกผู้หญิงต่างชาติ เพื่อจะให้พระเจ้าทรงสาปแช่งคนอิสราเอลเอง จงระวังวิญญาณแห่งการทำบาปและการล่อชวนที่มีอยู่ในโลกและในคริสตจักรทุกวันนี้ เราต้องรู้จักสังเกตผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ ซึ่งถ้อยคำของเขาเป็นเหมือนกับดัก เพื่อกระทำให้ประชากรของพระเจ้าเป็นพันธมิตรกับคนผิด จนหลงลืมหลักการแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้าไปเสีย
2) อัมโมน
เช่นเดียวกับพวกโมอับ พงศ์พันธุ์ของอัมโมนก็เกิดมาจากการล่วงประเวณีของโลตกับบุตรสาวอีกคนของท่าน ชาวอัมโมนนมัสการพระโมเลค ซึ่งต้องมีการบูชายัญเด็กเช่นเดียวกับพระเคโมช เรื่องการทำแท้งเด็ก ยังคงเป็นประเด็นร้อนภายในวิญญาณของเรา ขณะที่เรายังคงต้องร้องคร่ำครวญเพื่อโลหิตของบรรดาเด็กทั้งหลายที่กำลังตกเป็นเครื่องบูชายัญ ชื่อของอัมโมน แปลว่า ดั้งเดิม เผ่าพันธุ์ มาจากรากศัพท์ที่แปลว่า ครอบงำ ทำให้มืดมัว ซ่อนตัว (เหมือนเมฆมืดที่ปกคลุมเมือง หรือผู้คน) คำว่า ไสยศาสตร์ลี้ลับ จริงๆ แล้วแปลว่า การหลบซ่อน วิญญาณแห่งคาถาอาคมและไสยศาสตร์ พยายามที่จะทำให้ประชากรของพระเจ้าเกิดความสับสนและมืดมัว เพื่อทำให้เรามองไม่เห็น เราจะต้องมุ่งมั่นต่อสู้ในเชิงเผยพระวจนะเพื่อจะมองเห็น ได้ยิน และรู้จักพระสุรเสียงของพระเจ้า นี่คือเวลาที่เราต้องปลุกให้ของประทานแห่งการสังเกตวิญญาณตื่นตัวขึ้น เพื่อจะได้ฟังเสียงของพระเจ้าผ่านทางความฝันและนิมิต
3) ภูเขาเสอีร์
คนกลุ่มนี้นำเอาวิญญาณแห่งความกลัวและหวาดหวั่นมาสู่ผู้คนในแผ่นดิน เสอีร์แปลว่า ขนดกรุงรัง แพะตัวผู้ และมารร้าย แต่มาจากรากศัพท์ของคำว่า ลมพายุ, ทำให้ตัวสั่นด้วยความกลัว, เกิดความกลัวอย่างขนลุกขนพอง เราอาจตกอยู่ใต้ความกลัวได้ เพราะสิ่งใดๆ ที่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นความบาปทั้งสิ้น (โรม 14:23)
4) เข้าประจำที่ อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม “ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องสู้รบในสงครามครั้งนี้ โอ ยูดาห์ และเยรูซาเล็ม จงเข้าประจำที่ ยืนนิ่งอยู่และดูชัยชนะของพระเจ้าเพื่อท่าน อย่ากลัวเลย อย่าท้อถอย พรุ่งนี้จงออกไปสู้กับเขาและพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน"
เราจะต้องตระหนักว่า เราเข้าประจำที่โดยการถ่อมใจลงในการสรรเสริญ นมัสการต่อพระพักตร์พระเจ้า และโดยทางการเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า นี่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการสงครามเกิดขึ้น เราจะต้องลุกขึ้นและก้าวออกไปทำสงคราม โดยตระหนักเสมอว่า พระเจ้าจะทรงต่อสู้และกระทำการแทนเรา ในสิ่งที่ทำไม่ได้
5) เป็นช่วงเวลาสำหรับการปรับศูนย์กลุ่มอัครทูต
2 พศด. 20:20 “และเขาทั้งหลายได้ลุกขึ้นแต่เช้าและออกไปในถิ่นทุรกันดารถึงเทโคอา และเมื่อเขาออกไป เยโฮชาฟัทประทับยืนและตรัสว่า "ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่ จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ และท่านจะสำเร็จผล"
คำว่าตั้งมั่น หมายถึงการจัดให้สิ่งต่างๆ อยู่ในระเบียบ นี่คือการปรับตั้งศูนย์ให้กับกลุ่มอัครทูต พระเจ้ากำลังทรงมองหาคนเพื่อจะปรับศูนย์ในชีวิตของเขา ปรับตั้งศูนย์ของคริสตจักร ประเทศชาติ และคณะรัฐบาล เพื่อให้ทุกอย่างมีระเบียบ คำว่า การปรับตั้งศูนย์ หมายถึง การปรับให้เป็นเส้นตรง เพื่อคนในกลุ่มต่างๆ จะเห็นชอบและร่วมไม้ร่วมมือกัน เป็นเหมือนกับการปรับศูนย์ ถ่วงล้อ และทำให้อุปกรณ์แต่ละอย่างในเครื่องยนต์สามารถทำหน้าที่ประสานงานกันได้อย่างเหมาะสม เมื่อสิ่งต่างๆ ในโลกถูกปรับศูนย์เข้ามาสู่ระบบของแผ่นดินของพระเจ้าแล้ว ฟ้าสวรรค์ก็จะเปิดออก อย่าประหลาดใจถ้าคุณจะต้องถูกปรับศูนย์ฝ่ายวิญญาณ และด้านความสัมพันธ์ต่างๆ ซึ่งเป็นการท้าทายที่จะต้องเกิดขึ้นในปีนี้ พระเจ้าทรงสร้างแรงกดดันเพื่อทำให้ชีวิตของเราเที่ยงตรงและมั่นคง
6) เป็นช่วงเวลาที่จะต้องเชื่อคำของผู้เผยพระวจนะเพื่อเราจะจำเริญ
ฉันรู้สึกว่าน่าสนใจมากที่การสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นที่ถิ่นทุรกันดาร เทโคอา ชื่อนี้แปลตามตัวอักษรว่า ถิ่นทุรกันดารแห่งเสียงแตร แตรคือภาพเล็งถึงเสียงของผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า พระคัมภีร์เต็มไปด้วยตัวอย่างของผู้คนที่ประสบความทุกข์ใหญ่หลวง และได้รับถ้อยคำจากผู้เผยพระวจนะจนสามารถพลิกสถานการณ์ให้กลับดีได้ นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้เริ่มเห็นถึงการปรากฏของบำเหน็จแห่งผู้เผยพระวจนะ ผู้ที่อวยพรผู้เผยพระวจนะจะได้รับบำเหน็จ ผู้ที่เชื่อผู้เผยพระวจนะและนำเอาเผยพระวจนะไปประยุกต์ใช้จะได้พบความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่มาก คำฮีบรูที่แปลว่า ความมั่งคั่ง หมายถึง ทำให้ก้าวหน้าไป โผล่ออกมา มีกำไรมาก นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะก้าวหน้าไป และหลุดพ้นจากความยากจน การขัดสน และความจำกัด พระเจ้าจะทรงประทานกลยุทธในการแจกจ่าย ถ่ายโอน และสร้างสรรค์ความมั่งคั่งแก่เรา ขอให้เราพิจารณาดูตัวอย่างบางเรื่อง ต่อไปนี้:
ก) หญิงหม้ายชาวเศราฟัท – I พกษ. 17– ได้รับถ้อยคำเผยพระวจนะจากเอลียาห์ให้จัดอาหารเลี้ยงดูท่านก่อน แล้วแป้งกับน้ำมันของเธอจะพอกพูนไม่มีหมด ไม่เพียงแต่เธอจะได้รับการเลี้ยงดูในช่วงเวลากันดารอาหารเท่านั้น แต่บุตรชายของนางยังได้รับการชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย! เศราฟัท แปลว่า สถานที่แห่งการชำระให้บริสุทธิ์ เมื่อเราได้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของวิญญาณรักเงิน เราก็จะได้พบกับการเลี้ยงดูอย่างเหลือเชื่อ จากเรื่องนี้ เราได้รับบทเรียนว่า หลักการเรื่องการให้และการรับจากผู้เผยพระวจนะนั้น จะปลดปล่อยบำเหน็จของผู้เผยพระวจนะให้แก่เรา
ข) หญิงหม้ายภรรยาผู้เผยพระวจนะ – 2 พกษ. 4 – ผู้เผยพระวจนะเอลีชาถามนางว่า “เจ้ามีสิ่งใดอยู่ในบ้านของเจ้าบ้างหรือไม่?” นางจึงไปขอยืมภาชนะจากคนอื่นมา แล้วเริ่มเทน้ำมันลงไปในภาชนะเหล่านั้นจนเต็ม จากนั้นจึงนำน้ำมันนั้นไปขายได้เงินทองมามากมาย เรื่องนี้สอนให้เรารู้จักมองดูสิ่งที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมือของเรา และบ้านของเรา เพื่อเปลี่ยนให้มันกลายเป็นพระพรด้านเงินทองสำหรับเรา
หลักคิด: เราเตรียมตัวพร้อมมากน้อยแค่ไหน จะเป็นตัวกำหนดขนาดของพระพรที่พระเจ้าจะประทาน
ค) หญิงชาวชูเนม – 2 พกษ. 4 – คำว่า ชูเนม แปลว่า สถานที่แห่งการพำนักเป็นสองเท่า, มีความโชคดี, เต็มไปด้วยความโปรดปราน นางได้จัดเตรียมห้องหนึ่งไว้ในบ้านเพื่อต้อนรับผู้เผยพระวจนะ และท่านก็ได้เผยพระวจนะอวยพรให้นางมีบุตร การจัดเตรียมสำหรับนางแล้วเป็นเรื่องที่มากกว่าเงินทอง บำเหน็จของผู้เผยพระวจนะคือการปลดปล่อยการอัศจรรย์ซึ่งเงินซื้อไม่ได้ หลักการที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องนี้คือ เราต้องจัดพื้นที่ในบ้าน ในชีวิต ในพันธกิจ และในการงานของเราเพื่อให้การทรงเจิมของผู้เผยพระวจนะสามารถเข้ามาดำรงอยู่ได้ ไม่ใช่แค่แวะมาเยี่ยมเยียนเท่านั้น หลักคิดก็คือ เมื่อเราจัดพื้นที่ไว้ให้พระสุรเสียงของพระเจ้าเข้ามาดำรงอยู่ ไม่ใช่แค่แวะมาเยี่ยมเยียน พระเจ้าก็จะปลดปล่อยสิ่งที่เราขาดอยู่นั้นเข้ามาให้เรา
ง) โยเซฟทำนายฝันให้แก่ฟาโรห์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเจ็ดปีแห่งความแห้งแล้ง การสำแดงครั้งนี้นำไปสู่การวางกลยุทธเพื่อเก็บสะสมอาหารไว้กินในช่วงเวลาที่แห้งแล้ง หลักการที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องราวนี้ก็คือ พระเจ้าจะทรงใช้นิมิตและความฝัน เพื่อปลดปล่อยยุทธวิธีที่จะรับมือกับวาระและฤดูกาลต่างๆ ถึงแม้ความฝันนั้นอาจมาจากคนอธรรมก็ตาม จงอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงประทานการทรงเจิมแบบโยเซฟให้แก่คุณ ที่จะสามารถทำนายฝัน และได้รับความโปรดปรานที่มาพร้อมกับทรงเจิมนั้น พระเจ้ากำลังทรงยกชูคนที่เป็นโยเซฟขึ้นมาในวาระเวลานี้พร้อมด้วยคลังทรัพย์ และการทรงเจิมที่จะแจกจ่ายในฤดูกาลถัดไป เพื่อให้เขาเป็นศูนย์กลางแห่งการเลี้ยงดูสำหรับคริสตจักรและชาวโลกในช่วงเวลาที่กันดารอาหาร ยาโคบเองก็ฝันถึงการแบ่งฝูงแกะกับลาบันด้วย รวมทั้งยุทธวิธีที่จะทำฝูงแกะของท่านทวีจำนวนขึ้น
จ) ดาเนียล – ดนล 6:28 – จำเริญรุ่งเรืองได้แม้กระทั่งในรัชสมัยของกษัตริย์ที่ไม่เชื่อพระเจ้า เพราะท่านสามารถทำนายความฝัน, ติดต่อกับเหล่าทูตสวรรค์ และเผยพระวจนะให้ข้อคิดถึงความเป็นไปต่างๆ ของราชอาณาจักรในแผ่นดินโลก การทรงเจิมในการเผยพระวจนะของท่านกระทำให้ท่านมีความมั่งคั่ง ได้รับการเลื่อนขั้น และมีอิทธิพลภายในราชอาณาจักร ทั้งๆ ที่อยู่ในแผ่นดินบาบิโลน หลักการจากเรื่องนี้ก็คือ พระเจ้าจะทรงยกชูผู้ที่คอยฟังพระสุรเสียงเพื่อการเผยพระวจนะจากพระองค์ ซึ่งไม่ใช่สำหรับตนเองเท่านั้น แต่เพื่อประเทศชาติด้วย
ฉ) เศรุบบาเบล และพวกผู้ใหญ่ของชาวยิว สามารถสร้างวิหารได้สำเร็จในท่ามกลางปฏิปักษ์หมู่ใหญ่ เพราะถ้อยคำเผยพระวจนะที่ท่านได้รับจากฮักกัยและเศคาริยาห์ เอสรา 6:14-15 กล่าวว่า และพวกผู้ใหญ่ของพวกยิวก็ได้ทำการก่อสร้างให้ก้าวหน้าไป ตามการพยากรณ์ของฮักกัย ผู้เผยพระวจนะและเศคาริยาห์บุตรอิดโด เขาสร้างเสร็จตามพระบัญชาแห่งพระเจ้าของอิสราเอล และตามกฤษฎีกาของไซรัสและดาริอัสและอารทาเซอร์ซีสพระราชาแห่งเปอร์เซีย จะมีการทรงเจิมเพื่อให้ทำการสำเร็จ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะในช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปนี้
ช) อิสอัค – ปฐก. 26 ได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินฟิลิสเตียในช่วงเวลาที่เกิดการกันอาหารครั้งใหญ่ ตอนแรกท่านคิดจะทำเหมือนคนอื่นๆ คือย้ายไปอยู่ในอียิปต์ แต่พระเจ้าตรัสสั่งให้ท่านอาศัยอยู่ต่อไปในแผ่นดินคะนาอัน และพระองค์จะทรงอวยพรท่าน อิสอัคเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และได้หว่านพืชลงในที่ดิน และในปีนั้นท่านได้เก็บเกี่ยวผลหนึ่งร้อยเท่า จนกระทั่งท่านมีเงินทองเป็นอันมาก นี่คือหลักการแบบอิสอัค ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่า เมื่อปฏิบัติตามยุทธวิธีของพระเจ้า ถึงแม้จะอยู่ในช่วงเวลากันดารอาหาร แห้งแล้ง และมีความตายเกิดขึ้นในแผ่นดิน พระเจ้าก็ยังทรงสามารถกระทำการเหนือธรรมชาติเพื่อให้เกิดพระพรทวีคูณแก่คนที่อยู่ในพันธสัญญากับพระองค์
ยุทธวิธีจากพระเจ้า จะปลดปล่อยพระพรทวีคูณให้แก่เราแบบเหนือธรรมชาติ
ซ) ซีโมนเปโตร – ลูกา 5 – ปลาเต็มลำเรือ “เราได้จับปลามาตลอดคืนยันรุ่งไม่ได้อะไรเลย แต่จะขอหย่อนอวนลงอีกครั้งหนึ่งตามคำสั่งของพระองค์” เพราะพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงประทานการเลี้ยงดูอย่างใหญ่หลวงให้แก่เปโตร จนทำให้ท่านมีเงินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการติดตามพระเยซูได้ตลอดเวลาสามปีครึ่ง โดยที่ไม่ต้องออกไปจับปลาอีก
มัทธิว 17:27- เป็นเรื่องราวที่เปโตรถามพระเยซูว่าควรจะจ่ายภาษีพระวิหารหรือไม่ พระเยซูได้ทรงประทานคำแนะนำตรงๆ เพื่อบอกให้เขารู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อจะได้เงินนั้นมา มัทธิว 17:27 “... แต่เพื่อมิให้เขาสะดุด ท่านจงไปตกเบ็ดที่ทะเล เมื่อได้ปลาตัวแรกขึ้นมาก็ให้เปิดปากมัน แล้วจะพบเงินตราเชเขลหนึ่ง จงเอาเงินนั้นไปชำระค่าบำรุงพระวิหารสำหรับเรากับท่านเถิด" หลักการจากเรื่องนี้ก็คือ เมื่อเราเชื่อฟัง เท่ากับเรากำลังปลดปล่อยการจัดเตรียมของพระเจ้าเข้ามา
นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของการสำแดงเชิงเผยพระวจนะ เพื่อที่จะไขเอาพระพรและความมั่งคั่งมาสู่ประชากรของพระเจ้า แต่ละอย่างเหล่านี้ต่างก็สำแดงให้เห็นถึงการจัดเตรียมและความโปรดปรานของพระเจ้าที่มีสำหรับคนชอบธรรมในท่ามกลางภาวะยากลำบากร้ายแรงที่เกิดขึ้นในโลก แนวเศรษฐกิจของพระเจ้านั้นจะเข้ามาแทนระบบเศรษฐกิจของมนุษย์ คำว่าแทนที่ หมายถึง เข้ามาทดแทน หรือแทนที่บางสิ่งซึ่งมีประสิทธิภาพด้อยกว่า ล้าสมัยกว่า หรือเหมาะสมน้อยกว่า เรากำลังปรนนิบัติรับใช้ราชอาณาจักรที่เหนือธรรมชาติ ซึ่งไม่สามารถหวั่นไหวหรือถูกกำจัดได้ ชีวิตของเราควรจะเป็นสิ่งที่สำแดงถึงความยิ่งใหญ่ของแผ่นดินพระเจ้าและระบบเศรษฐกิจของแผ่นดินนั้น
ยรม. 17:7-8 7 "คนที่วางใจในพระเจ้าย่อมได้รับพระพร คือผู้ที่ความวางใจของเขาอยู่ในพระเจ้า 8 เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลำน้ำ เมื่อแดดส่องมาถึงก็ไม่กลัว เพราะใบของมันคงเขียวอยู่เสมอ และไม่กระวนกระวายในปีที่แห้งแล้ง เพราะมันไม่หยุดที่จะออกผล"
สดด. 37:19 “เขาจะไม่ได้อายในยามชั่วร้าย ในวันกันดารเขาจะมีอุดมสมบูรณ์”
7) เป็นเวลาที่จะสรรเสริญพระเจ้า เพราะพระเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์
พศด. 20:20-24. 20 และเขาทั้งหลายได้ลุกขึ้นแต่เช้าและออกไปในถิ่นทุรกันดารถึงเทโคอา และเมื่อเขาออกไป เยโฮชาฟัทประทับยืนและตรัสว่า "ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่ จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ และท่านจะสำเร็จผล" 21 และเมื่อพระองค์ได้ปรึกษากับประชาชนแล้ว พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งบรรดาผู้ที่จะร้องเพลงถวายพระเจ้า และแต่งกายด้วยเครื่องบริสุทธิ์สรรเสริญพระองค์ ขณะเมื่อเขาเดินออกไปหน้าศัตรู และว่า "จงถวายโมทนาแด่พระเจ้า เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์" 22 และเมื่อเขาทั้งหลายตั้งต้นร้องเพลงสรรเสริญ พระเจ้าทรงจัดกองซุ่มคอยต่อสู้กับคนอัมโมน โมอับ และชาวภูเขาเสอีร์ ผู้ได้เข้ามาต่อสู้กับยูดาห์ ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงแตกพ่ายไป 23 เพราะว่าคนของอัมโมนและของโมอับได้ลุกขึ้นต่อสู้กับชาวภูเขาเสอีร์ ทำลายเขาเสียอย่างสิ้นเชิง และเมื่อเขาทั้งหลายทำลายชาวเสอีร์หมดแล้ว เขาทั้งสิ้นช่วยกันทำลายซึ่งกันและกัน 24 เมื่อยูดาห์ขึ้นไปอยู่ที่เนินสูงที่ในถิ่นทุรกันดาร เขามองตรงไปที่คนหมู่ใหญ่นั้น และ ดูเถิด มีแต่ศพนอนอยู่บนแผ่นดิน ไม่มีสักคนเดียวที่รอดไปได้
เยโฮชาฟัทเป็นกษัตริย์ครอบครองเหนือยูดาห์ ยูดาห์ แปลว่า การสรรเสริญ คำสรรเสริญของเราไม่ใช่เป็นเพียงแค่การแสดงออกถึงความรัก และการขอบคุณพระเจ้าเท่านั้น คำสรรเสริญของเราเป็นอาวุธที่จะต่อสู้กับเหล่าศัตรูของเราอีกด้วย เมื่อเราสรรเสริญ พระเจ้าก็ทรงลุกขึ้น เมื่อพระเจ้าทรงลุกขึ้น ศัตรูของเราก็กระจัดกระจายไป ปีนี้จะเป็นปีแห่งการสรรเสริญผ่านทางปัญหาต่างๆ การนมัสการผ่านทางความวิตกกังวล และการเฉลิมฉลองผ่านทางสถานการณ์รอบตัวเรา เมื่อเราให้ตาของเราจดจ้องอยู่ที่พระเจ้าและสรรเสริญพระองค์ พระเมตตาของพระองค์ที่มีต่อเราก็จะปรากฏออกมา โดยการทรงทำลายศัตรูของเรา วิญญาณแห่งความขัดแย้ง และสับสนจะถูกปลดปล่อยออกมา และพวกเขาก็จะเริ่มทำลายซึ่งกันและกัน
8) เป็นเวลาที่จะริบของมีค่าจากเชลย
พศด. 20:24-30 “24 เมื่อยูดาห์ขึ้นไปอยู่ที่เนินสูงที่ในถิ่นทุรกันดาร เขามองตรงไปที่คนหมู่ใหญ่นั้น และ ดูเถิด มีแต่ศพนอนอยู่บนแผ่นดิน ไม่มีสักคนเดียวที่รอดไปได้ 25 เมื่อเยโฮชาฟัทและประชาชนของพระองค์มาเก็บของเสียจากเขาทั้งหลาย เขาพบสัตว์เป็นจำนวนมาก ข้าวของ เสื้อผ้า และของมีค่าต่างๆ ซึ่งเขาเก็บมามากสำหรับตัวจนขนไปไม่ไหว เขาเก็บของที่ริบได้เหล่านั้นสามวัน เพราะมากเหลือเกิน 26 ในวันที่สี่เขาทั้งหลายได้ชุมนุมกันที่หุบเขาเบราคาห์ ด้วยที่นั่นเขาสรรเสริญพระเจ้าเพราะพระพร เพราะฉะนั้น เขาจึงเรียกที่นั้นว่า*เบราคาห์*จนถึงทุกวันนี้ 27 แล้วเขาทั้งหลายกลับไปคนยูดาห์และเยรูซาเล็มทุกคน และเยโฮชาฟัททรงนำหน้า กลับไปยังเยรูซาเล็มด้วยความชื่นบาน เพราะพระเจ้าได้ทรงกระทำให้เขาเปรมปรีดิ์เย้ยศัตรูของเขา 28 เขาทั้งหลายมายังเยรูซาเล็มด้วยพิณใหญ่ และพิณเขาคู่และแตร ยังพระนิเวศของพระเจ้า 29 และความกลัวพระเจ้ามาอยู่เหนือบรรดาราชอาณาจักรของประเทศทั้งปวง เมื่อเขาได้ยินว่าพระเจ้าทรงต่อสู้ศัตรูของอิสราเอล 30 แดนดินของเยโฮชาฟัทจึงสงบเงียบ เพราะว่าพระเจ้าของพระองค์ประทานให้พระองค์มีการหยุดพักสงบอยู่รอบด้าน”
หุบเขาเบราคาห์ แปลว่า หุบเขาแห่งพระพรและความมั่งคั่ง! พระพรและความมั่งคั่งนี้ต้องใช้เพื่อประโยชน์แห่งราชอาณาจักรพระเจ้า ถึงแม้หลายคนกำลังอยู่ในภาวะพอที่จะเอาตัวเองรอดไปได้เนื่องจากการเขย่าทางเศรษฐกิจ แต่เราจะต้องรักษาท่าทีที่จะเห็นความก้าวหน้าเกิดขึ้น หุบเขาแห่งเบราคาห์อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแล้ว! การเก็บเกี่ยวบรรดาประชาชาติใกล้เข้ามาแล้ว! ความยำเกรงพระเจ้ากำลังจะบังเกิดขึ้นท่ามกลางอาณาจักรแห่งโลกนี้ เพื่อพวกเขาจะเริ่มพลิกฟื้นไปสู่การเป็นอาณาจักรของพระเจ้าของเรา ความยำเกรงพระเจ้าคือบ่อเกิดแห่งปัญญา และปัญญากับการสำแดงจะนำมาซึ่งชัยชนะแบบทลุทะลวง
กล่าวโดยสรุป ถึงแม้จะเกิดภาวะแห่งความมืดมิดขึ้นในโลก แต่พระเจ้าทรงปรารถนาให้ประชากรของพระองค์ตั้งหลักอยู่ในความเชื่อ คอยฟังพระวจนะของพระองค์และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว เราจะต้องไม่กลัวน้ำองุ่นใหม่ และต้องเปิดใจต่อการที่พระเจ้าประสงค์ให้เรากำหนดนิยามใหม่สำหรับนิมิต จุดประสงค์ และยุทธวิธีสำหรับช่วงเวลาดังกล่าวนี้ การอธิษฐาน การสรรเสิรญ และการเผยพระวจนะเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินควบคู่กันไป แลเราจะได้เห็นชัยชนะร่วมกันเมื่อคริสตจักรได้ลุกขึ้นจัดการกับสถานการณ์ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ และส่องความสว่างของพระคริสต์ออกไปท่ามกลางความมืด จนเราได้พบช่วงเวลาที่สุกใสที่สุดของเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น