วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

สหายของพระเจ้า...


ผมได้รู้สึกและสัมผัสถึงภาระหรือความหนักหน่วงภายในใจ

เมื่ออธิษฐานอยู่ผมรู้ว่าพระเจ้าอยากจะให้วิงวอนเผื่อสังคมไทยที่กำลังเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง

ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงรักประเทศไทยแต่พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดเหมือนกัน

พระเจ้าทรงรักเราเพื่อเราจะเดินอยู่บนหนทางของพระองค์โดยมีความรักนำเราไป

แต่ถ้าลูกของพระองค์ไม่เดินตามทางที่พระองค์วางไว้ให้ พระเจ้าก็จะมีวิธีนำลูกๆกลับมา

อาจจะใช้วิธีเบาๆ ถ้าเราไม่ดื้อต่อพระเจ้า ก็จะเป็นเรื่องง่ายที่จะกลับมาอยู่บนหนทางนี้อีก

แต่จากสิ่งที่ผมเห็นและสัมผัสได้จากคนไทย(แม้คนที่เรียกตนว่าเป็นคริสเตียน) ยังไม่ได้แสวงหาพระเจ้า

ในยามที่เดือดร้อนที่สุดเช่นในเวลานี้นั้นผมเองก็ต้องดิ้นรนที่จะแสวงหาพระเจ้า และพวกเราทุกๆคนเช่นกัน

ในพระธรรมอิสยาห์ 45:15 กล่าวว่า แท้จริงพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงซ่อนพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าแห่งอิสราเอลพระผู้ช่วยให้รอด

พระเจ้าทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์เพื่อวัตถุประสงค์หลายอย่างที่เราไม่มีวันเข้าใจได้ทั้งหมด

แต่เรารู้ว่าพระองค์ทรงงซ่อนเพื่อเราจะแสวงหาพระองค์ในที่ลึกลับ (อาจจะเป็นห้องนอนหรือแม้แต่การสงบลงเพื่อคุยกับพระองค์ในใจ)

มีพื้นที่แห่งหนึ่งในฝ่ายวิญญาณที่พระองค์สร้างไว้เพื่อเราจะวิงวอนและสนทนากับพระองค์หน้าต่อหน้า อย่างผู้เผยพระวจนะโมเสส

พระเจ้าปรารถนาให้เราพบพระองค์ในห้องอภิสุทธิสถาน ห้องชั้นในสุด ความลับสูงสุด

เป็นที่ที่เราเท่านั้นที่"เห็น"และ"สัมผัส"พระทัยพระองค์ และพระองค์เท่านั้นที่"เห็น"และ"สัมผัส"จิตวิญญาณของเรา

พระเจ้าไม่ได้ต้องการฟังเสียงตะโกนของเราจากลานชั้นนอกที่ดังไปถึงห้องชั้นในสุด

ท่านไม่รู้หรือว่า พระเจ้าไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นนอกจาก "สหาย"

นี่จึงเป็เหตุที่เราต้องอธิษฐาน(พูดคุย)กับพระเจ้า

เติมใจเราด้วยพระทัยของพระองค์...

วิงวอนเพื่อลูกๆของพระองค์อีกมากมายในประเทศนี้จะมาพบรักกับพระองค์...

ก่อนที่อะไรๆจะสายเกินไป...

พระเจ้ายังต้องการเราเสมอ มีใช่แค่เพียงรอดแล้วก็ไปทำอะไรๆได้อีกมากมาย

เรื่องความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าในฐานะ"สหาย" ยังสำคัญเสมอทุกยุคสมัย

พระองค์ไม่เคยต้องการสิ่งอื่นแต่ไหนแต่ไรแล้ว

เพียงแค่คำว่านี้เท่านั้น ที่พระองค์ต้องการจากเรา...

"สหาย" (เป็นเพื่อนกับพระองค์)

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

ความฝัน: ประเทศไทยแผ่นดินไหว



พระเจ้าได้ประทานความฝันในคืนหนึ่ง (น่าจะเป็นคืนวันอังคารที่ 8 มีนาคม 2554 นี้เอง)

แก่ผมเกี่ยวกับประเทศไทยว่ามีการแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงจนสามารถสัมผัสได้ทั่วประเทศ

ผมยืนอยู่ข้างถนนเส้นหนึ่ง จากนั้นมีการแผ่นดินไหวจน บ้านสองข้างทางไหลลงไปข้างทางและแผ่นดินก็แยกออก

แผนดินไหวติดต่อกันเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่ง ผมสัมผัสได้ว่าลมมีปะทะผมแรงมากจนปลิวถอยไปหลายก้าว

โดยลมที่พัดมาปะทะนั้นพัดมาจากตะวันตก มีคนยืนอยู่กลางถนนเต็มไปหมดและกลับไม่มีรถยนต์สักคันหนึ่งบนถนนเลย

และภาพสุดท้ายที่ผนเห็นในฝันก็คือ ภาพประเทศไทยที่มองลงมาจากท้องฟ้า

เห็นว่า แผนที่ได้เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัวจนไม่สามารถจำภาพเดิมได้เลย

พื้นที่ในประเทศไทยบางส่วนหายไป บางส่วนอยู่ใต้น้ำและบางส่วนแหว่งหายไป

ซึ่งความคิดเห้นส่วนตัวของผมนั้น คงเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเกิดคลื่นซึนามิ

ขอพี่น้องช่วยอธิษฐานเผื่อเรื่องนี้ด้วย เพราะหากไม่มีใครวิงวอนต่อพระเจ้า

เราอาจจะต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดคิดได้...

คำอธิษฐานของเรามีพลัง และเปลี่ยนทุกสิ่งได้... จากสิ่งเลวร้ายให้บรรเทาลงได้ หรือ ไม่เกิดขึ้นเลย...

พระเจ้าอวยพรครับ

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

ระดับของการเผยพระวจนะ

เราทุกๆคนต่างผ่านขั้นตอนแห่งการเรียนรู้ในหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น การเล่นกีฬา การเรียนดนตรี การฝึกทำอาหาร หรือแม้แต่การใช้ชีวิต เป็นต้น สิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรจะเรียนรู้ในสิ่งต่างๆคือ การเรียนรู้พื้นฐาน และจากนั้นฝึกฝนในสิ่งขั้นพื้นฐาน จนเกิดความชำนาญ ผู้ที่ชำนาญการหลายๆสิ่งต่างผ่านระดับการเรียนรู้เบื้องต้นกันทั้งนั้น สั่งสมวันแล้ววันเล่าจนกลายเป็นความชำนาญ และ คุ้นเคย

การเผยพระวจนะก็เช่นกัน หากถ้าเราจะเรียนรู้การเผยพระวจนะ ต้องการคุ้นชินกับเสียงของพระเจ้า ต้องการบอกกล่าวถ้อยคำจากพระทัยพระเจ้า สู่ผู้คนอื่นๆ การต้องคุ้นเคยและสนิทสนมกับพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของแห่งของประทานนี้ พระเจ้าต้องการที่จะสอนเราถึงบทบาทแห่งความเป็นผู้ใหญ่ในการดำเนินกับพระองค์ ในเรื่องของ ความคิด ท่าทีภายใน การจัดการกับอารมณ์ การมีระเบียบวินัยฝ่ายวิญญาณในชีวิต ฯลฯ สิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับภายในของเรา ซึ่งหากจะเดินตามพระองค์ และเป็นสาวกแท้ของพระองค์แล้ว สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ต้องจัดการเป็นระดับต้นๆของการที่เราจะเป็นสาวกแท้ หรือแม้แต่การจะเดินบนเส้นทางแห่งการเผยพระวจนะเช่นกัน

ในเรื่องระดับของการเผยพระวจนะนั้น มีหลายๆปัจจัยที่ขับเคลื่อนฤทธานุภาพแห่งการเผยพระวจนะตามแต่ระดับต่างๆ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้น "ความรัก" ความรักคือรูปแบบหนึ่งของการทรงสถิตของพระเจ้า การสำแดงความรักออกมาเป็นการเผยพระวจนะนั้น คือการสำแดงพระเจ้าแก่โลกนี้นั้นเอง เพราะพระเจ้าทรงอ่อนโยน ทรงเสียใจกับการกระทำแห่งความบาปของมนุษย์ ยกโทษและอภัยเสมอ และรองรับความกดดันแห่งความบาปทั้งสิ้นไว้ ถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงเป็นแก่หน้าผู้ใดก็ตาม พระองค์ก็ยังคงเป็นความรักและไม่มีอะไรขัดแย้งในพระองค์เอง ไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดพระเจ้ามิให้ "รัก" เราได้
หากเราเข้ามาสู่การเผยพระวจนะด้วยการมุ่งเน้น(ให้ความสำคัญ)ที่มิติแห่ง "ความรัก" ของพระเจ้าแล้ว จะเป็นหนทางที่เราเองจะเติบโตในความรักของพระเจ้าอย่างเข้มแข็งและชีวิตเราจะมั่นคง และสามารถมีส่วนช่วยนำพาคนอีกมากมายเข้ามาสู่อ้อมกอดที่จริงใจของพระเจ้า "ความรักนั้นเข็มแข็งดั่งความตาย" โซโลมอนได้พูดไว้ "ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด" เปาโลพิสูจน์ไว้แล้ว "พระเจ้าทรงเป็นความรัก" อัครทูตยอห์นปักหลักนี้ให้แก่เราไว้แล้ว...
"กลุ่มสาวกแท้ฝึกฝนที่จะรักพระเจ้าและพี่น้อง และเติบโตขึ้นในของประทานแห่งการเผยพระวจนะ" (1โครินธ์ 14:1)

ท้องทะเลที่กว้างใหญไพศาลนั้นมีสิ่งต่างๆมากมายที่ดำรงชีวิตอยู่ในนั้นที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมาย ที่เราเองไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้สัมผัส ภายใต้พื้นน้ำยังคงมีสิ่งที่น่าค้นหาสิ่งใหม่ๆรอเราอยู่เสมอ ไร้ขอบเขต ไร้รูปทรงที่จะคาดคะเนได้ มิติแห่งความเชื่อก็เช่นกัน มีพระพรที่ยิ่งใหญ่อยู่ในนั้น แม้เราอาจจะมองไม่เห็นอะไรอีกมากมายที่อยู่ในนั้น แต่พระเจ้าก็ปรารถนาที่จะสำแดงแก่ลูกๆที่พระองค์ทรงรักอยู่เสมอทุกเชื่อวัน พระเจ้าได้ก่อร่างสร้างมนุษย์ของพระองค์ขึ้นมา ประทานวิญญาณจิตแห่งการพยากรณ์แก่เขา และเรียกเขาโดยชื่อของเขาและแน่นอนทรงเรียกเขาโดยสิ่งที่เขาเป็นด้วย ซึ่งบางคนเป็น"ผู้เผยพระวจนะ"
"ความเชื่อ" ถูกกล่าวว่า เป็นกุญแจสู่การเผยพระวจนะ ใน โรม 12:6 กล่าวว่า จงเผย(พระวจนะ)ตามความเชื่อ บ่อยครั้งที่พระเจ้ามักจะสร้างความเชื่อภายในเราด้วยเหตุการณ์ที่ยากจะเชื่อได้ เพื่อพระองค์จะทรงเค้นให้ความพรสวรรค์ที่สำคัญชิ้นนี้ที่ซ่อนอยู่ภายในเรา(ความเชื่อ)ถูกเขย่าออกมา และเราเองจะไม่เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในความจำกัดอีกต่อไป นี่คือเหตุที่พระเจ้าทรงพอใจในความเชื่อของเรา และยังทรงประทาน "ความเชื่อ" ที่เป็นของประทานในการทำการอัศจรรย์นี้แก่เราด้วย เพราะเมื่อเราใช้ชีวิตด้วยไม่มีความจำกัดในความเชื่อแล้ว เท่ากับเราไม่ได้จำกัดพระองค์ไว้เช่นกัน โลกจะเห็นสิ่งใหญ่ผ่านชีวิตท่านอย่างชัดเจน...
ผู้เผยพระวจนะ ทำให้สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน นั้น ปรากฏชัดขึ้นในพระกายพระคริสต์ และทั้งกายของพระองค์จะสว่างด้วยแสงแห่งความเชื่อ ในยามที่มึดมิด ความเชื่อเรียกเราให้แสวงหาพระองค์ เมื่อเราพบพระองค์แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เป็นม่านบังตาเราอีกต่อไปเพราะ "การเผยพระวจนะด้วยความเชื่อทำให้อนาคตที่มองไม่เห็นชัดเจนขึ้นทันตา และมั่นใจที่จะเดินต่อไปในทางแห่งพระคริสต์"

เราทุกคนหวังใจในพระเจ้าผู้เป็นนิรันดร์ เรามิำได้เห็นพระเจ้าแต่ก็ยังรักในพระองค์ สิ่งนี้ทูตสวรรค์นั้นปรารถนาได้ดูจากเราเมื่อเราหวังใจในพระวจนะที่ไม่มีวันสูญสะลาย แม้แต่พวกทูตสวรรค์เองก็กำเนิดมาจากการที่พระเจ้าทรงตรัส(เผยพระวจนะ) และทูตสวรรค์เองก็เป็นผู้กระทำตามพระวจนะของพระเจ้า และมีส่วนที่ทำให้คำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์นั้นสำเร็จเป็นอย่างดีอีกด้วย ในพระธรรมโรมบทที่ 8 ได้กล่าวว่า เมื่อเรายังไม่ได้รับสิ่งใด เราก็มีความหวังและรอคอยสิ่งนั้นให้บังเกิดขึ้น มิติแห่งความหวังนั้นจะถูกปลดปล่อยออกมาจากพระสัญญาแห่งพระวจนะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคำเผยพระวจนะ
ส่วนตัวของผมเอง ผมรักคำเผยพระวจนะในพันธะสัญญาเดิมมาก และเมื่อได้รับการเปิดเผยในขณะอ่านนั้น ผมสัมผัสได้ถึงความหวังใจที่พระวิญญาณของพระเจ้ายืนยันผ่านถ้อยคำเหล่านั้น เป็นสันติสุขที่ทำให้ผมมีกำลังและสามารถอดทนรอให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น จนบรรลุน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ผมเชื่อว่าผู้เชื่อหลายๆคนเคยได้รับคำเผยพระวจนะที่ดีๆเกี่ยวกับชีวิตของเราเอง อาจจะมีคนมาเผยกับเราหรือพระเจ้าอาจจะเป็นผู้ตรัสกับเราเอง แต่นอกเหนือจากคำเผยที่ดีๆที่เราได้รับนั้น เราต้องร่วมมือกับพระเจ้าจนกระทั้งบังเกิดในชีวิตจริงของเรา ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดาของเรา "ความหวังใจที่เรามีในพระเจ้าขับเคลื่อนเราให้กระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าจนสำเร็จตามคำเผยพระวจนะของพระองค์ได้"

ความเป็นผู้เผยพระวจนะแท้นั้นจะหักล้างความจำเจ ประเพณีนิยม นำใจคนมาสู่การสำนึกบาป และจะหักล้างทุกๆอย่างที่ขัดขวางเราให้ห่างออกจากพระเจ้า และสำแดงความรัก เสริมความเชื่อ ให้ความหวังใจ ผู้เผยพระวจนะแท้นั้นจะไม่นำคนมาเข้าเป็นพวกของตน แต่จะนำคนทั้งหลายให้วางชีวิตไว้ที่พระเจ้า Focus ที่พระเจ้า มุ่งมองที่พระองค์ ชมความงดงามของพระองค์ ผมเห็นคนที่มีวิญญาณผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จมากมายและได้รู้จักเขาด้วย คนเหล่านี้มีชีวิตที่น่าอนาถใจอย่างยิ่งเมื่อเขาอยากเป็นที่รู้จัีกอย่างแพร่หลายผ่านทางการยกย่องตนเอง ดึงคนเข้ามาหาตัวเอง ยุยงให้เกิดความแตกแยก และโลภเงินทอง หรือแม้แต่ชื่อเสียงที่เข้าเองมิได้เป็นคนก่อขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ คนเหล่านี้ตกหล่นไปจะพระคุณเสียแล้ว... ผมฝากท่านที่ได้อ่านทุกคน โปรดวิงวอนพระเจ้าเผื่อคนกลุ่มนี้ด้วย

การเผยพระวจนะในมิติแห่งความรัก ความเชื่อ และความหวังใจ มีความสำคัญอย่างมากในชีวิตของเราทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นผู้เผยพระวจนะของพระองค์ สิ่งนี้มิได้เกิดขึ้นจากการที่เราตั้งใจ แต่เกิดจากการที่พระเจ้าทรงตั้งใจ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณจะเป็นผู้นั้นที่รู้จักพระทัยพระเจ้าและใช้ชีวิตในหนทางของพระองค์ที่ทรงกำหนดไว้แก่เราแล้ว... เดินตามพระวิญญาณของพระองค์ แล้วพระองค์จะเรียกท่านว่าเป็นบุตรของพระองค์

"พันธกิจแห่งการเผยพระวจนะที่ดีนั้น คือ พันธกิจที่ประกาศความรักของพระคริสต์อยู่เสมอ และเสาะหาคนของพระเจ้าเพื่อที่จะช่วยให้เขาเติบโตในพระเจ้า"