วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การเจิมของเอลียาห์

การเจิมของเอลียาห์
พระเจ้าทรงเรียกเอลียาห์ออกมาจากแหล่งที่อยู่เดิมของเขาในช่วงเวลาที่อิสราเอลเต็มไปด้วยความเสื่อมถอยฝ่ายวิญญาณ เวลาที่เต็มไปด้วยความเลวร้ายมากมาย เวลาที่ไสยศาสตร์ครอบครองทั้งเมือง และแน่นอน การเจิมของเขาจะมาเพื่อช่วยให้จิตใจของชาวอิสราเอลกลับมายังพระทัยของพระบิดาอีกครั้ง ในยุคของเราก็เป็นเวลาที่มืดมนและต้องการการเจิมแบบเอลียาห์ที่จะเข้ามาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เหตุใดเราต้องรับรู้เกี่ยวกับชีวิตของชายคนนี้ ก็เป็นเพราะว่า การเจิมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะได้รับจากรพระเจ้านั้นคือการเจิมของเอลียาห์ (เราไม่นับฤทธิ์เดชของพระเยซูเพราะพระองค์เป็นที่สุดของจักรวาล เป็นพระเจ้าของเรา เอเมน !!) แม้แต่การเจิมที่มากกว่าเป็น 2 เท่าที่เอลีชาได้รับนั้นก็ยังเป็นการเจิมของเอลียาห์อยู่ดี
วันแห่งความมืดมิด
เมื่อเราเท้าความย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์ ซาอูล ดาวิดและโซโลมอน เป็นเวลา100ปี ที่อิสราเอลประสบกับสันติสุข ความเป็นหนึ่งเดียว และความมั่งคั่ง แต่เป็นเพราะเรโฮโบอัมทำผิดที่ไปเชื่อคำปรึกษาของสหายน้อยประสบการณ์และปฏิเสธคำปรึกษาของนักปราชญ์ ก่อให้เกิดความแตกแยกในอิสราเอล เป็น 2อาณาจักร อาณาจักรเหนือ คืออิสราเอล มีเมืองหลวงคือสะมาเรีย และอาณาจักรใต้คือ ยูดาห์ มีเมืองหลวงคือเยรูซาเล็ม โดยอิสราเอลที่กษัตริย์ 19 คน เป็นกษัตริย์ชั่วทั้งหมด อาณาจักรยูดาห์ มีกษัตริย์ 17 คน เป็นกษัตริย์ดี 8 พระองค์ และเป็นกษัตริย์ชั่วถึง 9 พระองค์ พระเจ้าทรงส่งผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ ไปยังอาณาจักรอิสราเอล เป็นอาณาจักรเหนือ เพราะนั่นเป็นเวลาที่ความมืดมิดได้ถึงจุดขีดสูดของความชั่ว เท่าที่อิสราเอลเคยมีมา
พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า กษัตริย์อาหับได้ปกครองและมีนางเยเซเบลเป็นมเหสี ซึ่งพ่อของนางเป็นกษัตริย์ของเมืองไซดอน และเป็นปุโรหิตของพระบาอัล เมืองไซดอนเป็นศูนย์กลางการนมัสการพระเทียมเท็จ ชื่อ “บาอัล” ทั้งๆที่มันเป็นวิญญาณชั่วตัวหนึ่ง แต่คนอิสราเอลเรียกมันว่า “พระ” เพราะเหตุแห่งความมืดบอดแห่งจิตวิญญาณ เยเซเบลมีพ่อเป็นหัวหน้าลัทธิ “บาอัล” ในสมัยนั้น และแน่นอน นางเองก็เป็นผู้นำลัทธิอันชั่วร้ายนี้ในอิสราเอลเช่นกัน ลัทธินี้สอนเกี่ยวกับการบูชาผีแห่งความวิปริตทางเพศ (Demon of Sexual Perversion) และสอนเกี่ยวกับ การบูชาวิญญาณแห่งความรุนแรง โดยการฆ่าเด็กบูชายัญแก่พระเทียมเท็จเหล่านี้
ทุกวันนี้หากเราดูในสังคมของเราสามารถเห็นการงานของพระเทียมเท็จและวิญญาณของเยเซเบลนี้ยังคงทำงานอยู่ในทุกชั่วอายุคน แม้ชื่อของพระจะเปลี่ยนไป แต่เอกลักษณ์และวิธีการชั่วร้ายของมันยังไม่เปลี่ยน มันปรารถนาการฆาตกรรม การทำแท้ง การกระทำผิดศีลธรรมทางเพศ (รักร่วมเพศ ร่วงประเวณี กับคน สัตว์ และแม้แต่รูปเคารพ) แค่คุณเปิดโทรทัศน์ดู ก็จะได้เห็นการงานของวิญญาณชั่วเหล่านี้มีอยู่ดาษดื่น... สิ่งที่เป็นเหตุให้วิญญาณเยเซเบลเข้ามาได้คือ “ความแตกแยก” (Division) เริ่มต้นจากเราแตกแยกกับพระเจ้า ชนชาติหนึ่งแตกจากชนชาติหนึ่ง สามีแยกทางกับภรรยา หรือแม้แต่คริสตจักรแตกแยกกันเอง ความแตกแยกทุกแบบที่ได้กล่าวมานี้เอง เป็นประตูให้กับวิญญาณเยเซเบลสามารถเข้ามาควบคุมและครอบครอง นี่เป็นเหตุที่เปาโลกล่าวถึงบาปที่ต้องห้ามนี้ในหนังสือกาลาเทียบทที่ 5
เมื่อความมืดมิดที่สุดมาถึงและสามารถจับต้องได้ นั่นเป็นเวลาที่คนทั้งหลายจะร้องหาแสงสว่าง เป็นเวลาที่การเจิมของพระเจ้าจะเทลงมานั่นคือการเจิมอย่างเอลียาห์ เวลาของเอลียาห์ไม่ใช่เวลาแห่งพระสิริของพระเจ้า หลายๆครั้งที่เราร้องเพลง “นี่เป็นเวลาของเอลียาห์” เราไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า เวลาของเอลียาห์นั้น คือเวลาแห่งไสยศาสตร์ เวลาแห่งความวิปริตทางเพศ เวลาแห่งความมืด เวลาแห่งความโลภ เวลาแห่งความเศร้าโศก เวลาแห่งการฆาตกรรม และความแตกแยก ดังนั้นเมื่อเราร้องเพลงนี้ เรากำลังพยากรณ์ว่า เวลานี้เป็นเวลาที่การเจิมของเอลียาห์กำลังจะเกิดขึ้น เพราะความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นกับอิสราเอลในเวลานั้นก็ไม่ได้ต่างไปกับเวลานี้ที่เรามีชีวิตอยู่เลย เราต้องการแสงสว่างแห่งพระวิญญาณของพระเจ้ากันสิ้นทุกคน การเจิมของพระเจ้าที่ประชากรของพระองค์ไม่เคยสัมผัสกำลังรอเวลาที่จะระเบิดออก
พระเจ้าทรงต้องการบุคคลผู้นั้นที่จะรับพระบัญชา รองรับพระทัย และรองรับฤทธานุภาพแห่งการเจิมของพระองค์ ในการหันใจพ่อกลับมาหาลูก และหันใจลูกกลับมาหาพ่อ ดั่งในอดีตที่พระองค์ทรงเจอคนที่ใช้การได้มาแล้วอย่างเอลียาห์นั่นเอง เขาผู้นี้จึงเป็นบรรพบุรุษแห่งความเชื่อที่สร้างทางเดินให้แก่เราแล้ว
การทรงเรียก
1 พงค์กษัตริย์ 17:1 ได้บอกแก่เราว่า ฝ่ายเอลียาห์เป็นชาวทิชบีและได้อาศัยอยู่ในกิเลอาด นี่เป็นบทแรกที่พูดเกี่ยวกับชีวิตของชายผู้นี้ ไม่มีใครู้จักชีวิตของเขา ที่อยู่ของเขา บ้าน หรือครอบครัวของเขา การที่พระคัมภีร์เริ่มต้นเรื่องของเอลียาห์อย่างทันทีทันใด ไม่มีจุดเริ่มต้นเกี่ยวกับชีวิตของเขานั้น ผมอยากจะให้ความเห็น ณ จุดนี้ว่า พระเจ้าต้องการให้เราทุกคนรู้ว่า พระองค์ไม่ได้ทรงเห็นแก่ผู้ใด พระเจ้ามิได้สนใจอดีตของเรา เราเป็นลูกใคร เรารวยหรือจน เราเกิดที่ใด บ้านนอกหรือเมืองหลวง อายุน้อยหรือแก่อาวุโส เรียนดีหรือไม่ หรืออื่นๆนั้น พระเจ้าทรงเห็นว่าไม่เป็นเรื่องที่สำคัญเลย ขอแค่เราเป็นคนที่พระองค์ใช้การได้ โดยการตอบสนองการทรงเรียกเท่านั้น ผมแอบคิดว่า แท้จริงแล้วพระเจ้าเรียกคนอื่นๆก่อนเอลียาห์ไหม? แต่มีเพียงเอลียาห์เท่านั้นใช่หรือไม่ที่ตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้า? ผมคิดว่า พระองค์ทรงเรียกหลายๆคนพร้อมๆกัน แต่พระองค์ก็ทรงรู้ก่อนแล้วว่าจะมีเพียงเอลียาห์เท่านั้น ชีวิตของเราก็เช่นกัน กี่ครั้งที่พระเจ้าเรียกท่านและท่านยินดีทำตามเสียงนั้น? เรายินดีที่จะเป็นตามที่พระองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับเราหรือไม่? ยินดีที่จะเดินบนหนทางที่ไม่สวยหรูหรือไม่? ผมคิดว่าพระเจ้ายังคงถามพวกเราเช่นนี้อยู่เสมอ
พระองค์ยังทรงแสวงหาคนเป็นอิสระต่อภาระผูกพันของโลกนี้เสมอ เช่น อิสระจากครอบครัว(บางคนพระเจ้าทรงเรียกให้เขาปราศจากครอบครัว ใครรับได้ก็รับเอาเถิด) อิสระจากพันธนาการแห่งอารมณ์(ผู้ที่ทำสิ่งใดก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์) อิสระจากประเพณีนิยม อิสระจากมลทินของโลกนี้ อิสระจากวัฒนธรรมที่ไร้ประโยชน์ พระเยซูจะต้องมาเป็นที่หนึ่ง พระองค์มิได้ทรงสนใจว่าเราเป็นลูกใคร หรือเก่งเพียงใด พระองค์ได้กล่าวไว้อย่างรุนแรงทีเดียวว่า ผู้ใดจับขันไถแล้วหันหลังกลับผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา พระองค์แสดงความต้องการของพระองค์ ทรงเรียกให้เราเป็นไทจากการติดพันอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลาย หากเราควบคุมหรือละทิ้งสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาไม่ได้ เรายังไม่ควรค่ากับการเจิมที่พระเจ้าจะประทานให้เพื่อปลดแอกให้แก่ประชากรของพระองค์ในยุคแห่งความเชื่อร้ายนี้ หากสิ่งใดที่ถ่วงท่านหรือหน่วงรั้งท่านจากพระเจ้าหรือจากหนทางของพระองค์ ขอให้ท่านแน่ใจว่า ท่านจะละทิ้งมันเพื่อจะได้พระเยซูคริสต์เป็นรางวัลแห่งชีวิต
ฝ่ายเอลียาห์ชาวทิชบีผู้ซึ่งตั้งอาศัยอยู่ในกิเลอาด ได้ทูลอาหับว่า "พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ซึ่งข้าพระบาทปฏิบัติทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด... จากประโยคนี้เอลียาห์ได้กล่าวและแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งปัจจุบัน พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า “เราเป็น” หรือ “ยาห์เวห์” นั่นเอง เอลียาห์ได้บอกจุดยืนของตนอย่างชัดเจนว่าท่านเองเป็นผู้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษซึ่งเหล่าอัครปิตา(อับราฮัม อิสอัคและยาโคบ)ได้ปรนนิบัติเช่นกัน ซึ่งนี้ก็ยังขยายความให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งเขามีต่อพระเจ้าอย่างมาก เขาเป็นตัวแทนของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว เขามิได้กล่าวถึง กลุ่มหรือคณะที่เขาอยู่ เขาตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าเขาเพียงสิ่งเดียว และพระเจ้าก็ทรงลิขิตชีวิตที่ทรงพลังให้แก่เขา
เอลียาห์เผยตัวเองออกมาในเวลาที่มืดมิดที่สุดของชนชาติอิสราเอล เขาถูกเรียกให้เผยตัวออกมาในเวลาที่ความมืด ความตาย การฆาตกรรม การบูชาพระเทียมเท็จ และไสยศาสตร์ลัทธิ“บาอัล” ครอบครองทุกหัวระแหงของอิสราเอล ศีลธรรมทั้งสิ้นหมดความหมายอย่างสิ้นเชิง จิตวิญญาณของชาวอิสราเอลในวันเวลาเหล่านั้นอับจนหนทางทั้งสิ้นเมื่อเขาเลือกสิ่งอื่นแทนพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้เขาทำบางสิ่งที่จะนำการเปลี่ยนแปลงมายังแผ่นดิน พระเจ้าทรงเรียกให้เขาเผยพระวจนะเหนือแผ่นดินอิสราเอล เขากล่าวว่า จะไม่มีน้ำค้างหรือฝนในปีเหล่านี้ นอกจากตามคำของข้าพระบาท" 1 พงศ์กษัตริย์ 17:1 เขาเริ่มต้นพยากรณ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วแผ่นดินของอิสราเอล สิ่งนี้เรียกว่า “การกันดารอาหาร” พระเจ้าเริ่มต้นที่จะตัดสิ่งที่จำเป็นแก่พวกเขาออกไปเพื่อให้เกิดการตื่นตัว และอยู่ในสภาวะที่ต้องดิ้นรนเพื่อตนเองอีกครั้ง บทเรียนฝ่ายวิญญาณจากสิ่งนี้สามารถสอนเราได้ตลอดหนทางการเดินกับพระเจ้า พระองค์ทรงรักเราและปรารถนาให้เราแสวงหาพระองค์และรักพระองค์ตอบเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อผลดีของเราเอง เมื่อเรารักพระเจ้าสิ้นสุดจิตสุดใจแล้ว แม้สถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นใดจะเกิดขึ้นกับเรานั้น พระองค์จะนำสิ่งร้ายมาก่อให้เป็นผลดีแก่คนที่รักพระองค์ คือผู้ที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์นั้น แต่ถ้าหากเราเป็นเพียงอุ่นๆ เหยียบเรือสองแคม พระองค์ผู้ทรงรักเรานั้นก็จะกระทำบางสิ่งให้เรากลับมาสู่การพึ่งพาพระองค์อีกครั้งหนึ่งให้จงได้ พระองค์ทำได้ทุกสิ่ง และจะทำมากขึ้นในยุคของเรา ยุคที่ทุกคนมีความรักที่เยือกเย็น ยุคที่ความหลงผิดครอบงำจิตใจคนมากมาย และนี่เป็นเหตุที่พระองค์ทรงรอคอยเราเสมอ รอให้คนเขามาสู่ความรักในพระคริสต์ผู้พร้อมที่จะลบลืมบาปมากมายทั้งสิ้นของเรา
สิ่งเดียวกันในวันของเอลียาห์และวันของเรา
การกันดารอาหารก็เป็นเหตุร้ายหนึ่งที่จะเป็นโอกาสให้คนอิสราเอลได้คิดไตร่ตรองชีวิตที่นอกใจพระเจ้า เราถือว่าการมีพระอื่นนอกจากพระเจ้าเที่ยงแท้ หรือพระเจ้าแห่งอิสราเอลนั้น เป็นการร่วงประเวณีฝ่ายวิญญาณ บ่อยครั้งที่พันธะสัญญาเดิมขยายความการกระทำเช่นนี้ว่า เป็นสิ่งที่ลามก และน่าสะอิดสะเอียนต่อพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าต้องการเจ้าสาวของพระองค์คืนมาจากเงื้อมมือของขโมยผู้ฉวยโอกาส การกันดารอาหารเป็นจุดเริมต้นของการเปลี่ยนแปลงฝ่ายวิญญาณนั่นเอง หากเราได้ดูในหนังสือปฐมกาลแล้ว เราจะรู้ว่า การกันดารอาหารในแต่ละครั้งนั้นส่งผลให้คนของพระเจ้าต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง ดูตัวอย่างชีวิตของ อับราฮัม อิสอัค และ ยาโคบ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากให้เราได้ศึกษา เมื่อพระเจ้าทรงปิดประตูหนึ่ง พระองค์จะทรงนำเราด้วยการเปิดอีกประตูหนึ่ง สิ่งที่เราเลือกได้ก็คือ เดินผ่านประตูที่พระเจ้าทรงเปิดนั้น หรือ อยู่ที่เดิม ไม่ไปไหนทั้งสิ้น คนที่มีสายตาฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้าจะเลือกเดินตามที่พระเจ้าทรงนำนั้น เพราะเหตุการณ์กันดารทำให้ยาโคบต้องหนีไปอียิปต์ โดยโยเซฟมีอำนาจและครอบครองอยู่ที่นั่น คนฝ่ายวิญญาณจะรู้จักสังเกตกาลเวลาและหมายสำคัญ เข้าใจพระทัยพระเจ้า และสามารถเลือกตามที่พระเจ้าต้องการได้
ภัยแล้งกำลังส่งเสียงกระซิบที่ดังก้องในวิญญาณจิตของคนยิวทั้งสิ้นว่า “กลับใจเสียใหม่ ๆ” และยังบอกแก่โลกในทุกวันนี้เช่นเดียวกัน เหตุที่เรื่องราวของเอลียาห์สำคัญมากสำหรับเราทุกคนที่อยู่ในยุคสุดท้ายนี้ เป็นเพราะ สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นภาพสะท้อนให้เราเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในนาทีนี้ เราทุกคนเหมือนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในวันเวลาของเอลียาห์นั่นเอง วิกฤติกาลทางเศรษฐกิจก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่งเช่นกันที่กระตุ้นให้คนทั้งโลกนี้กลับมาหาพระเจ้า ผมเชื่อว่าพระเจ้าพระเจ้าทรงยอมเลือกที่จะเขย่าสิ่งต่างๆรอบข้างเราเพื่อให้เราตื่นจากความเฉื่อยชาและตื่นจากการหลับไหลฝ่ายวิญญาณ แทนที่จะเอาชีวิตเราไปโดยไม่ได้ให้โอกาสเราในการแก้ตัว พระเจ้าประทานพระคุณเสมอแม้ในขณะที่เราเองเป็นคนบาปอยู่ พระคริสต์ทรงตายเพื่อเรา และพระเจ้าทรงหวังว่าเราจะตอบสนองความรักและพระคุณของพระองค์โดยเลือกที่จะเชื่อในพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เช่นกัน แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นพระเจ้าก็จะทรงเลือกที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้เรารู้สึกว่าเราต้องพึ่งพาพระองค์แทนการเชื่อในตัวเองได้แล้ว
ภัยธรรมชาติ ไม่ได้เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เป็นหมายสำคัญแห่งการเวลา เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วโดยพระปัญญาของพระเจ้า เป็นวาระแห่งการเขย่าในยุคสุดท้าย ยุคที่จิตใจของคนแข็งกระด้างและยุคที่ความรักเยือกเย็นลง ทำไมผมจึงพูดอย่างนี้ เพราะพระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า
สดุดี 93:1
พระเจ้าทรงครอบครอง พระองค์ทรงสวมความยิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงสวมฉลองพระองค์พระองค์ ทรงเอาพระกำลังคาดพระองค์ โลกได้สถาปนาไว้แล้ว มันจะไม่หวั่นไหว
ความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างนั้นมีมากเหลือล้น พระองค์สร้างทรงสิ่งในโลกให้เขาดูแลและครอบครอง เมื่อพระเจ้าทรงวางรากฐานของโลกนี้เอาไว้อย่างมั่นคงในครั้งแรกเริ่มนั้น พระเจ้าทรงมอบสิทธิอำนาจที่เพื่อครอบครอง แต่เมื่อมนุษย์หยิ่งทะนงและกบฏต่อพระเจ้า มนุษย์ขายสิทธิอำนาจให้แก่ซาตานที่จะครอบครองโลก พวกเขาพยายามที่จะเป็นผู้ปกครองที่ไม่ได้อยู่ภายใต้พระเจ้าอีกต่อไป ลืมการปกครองด้วยความดีงามของพระเจ้า พระองค์จึงต้องเขย่าโลกนี้เพื่อจะเรียกมนุษย์กลับมาหาพระองค์ เมื่อในฝ่ายกายภาพแผ่นดินไหวนั้น พระเจ้าก็ได้ทรงเขย่าท้องฟ้าสวรรค์ที่เป็นที่อยู่ของซาตานในฝ่ายวิญญาณเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้อาณาเขตในระดับพื้นผิวโลกต้องรับผลกระทบจากฝ่ายวิญญาณเช่นกัน
เมื่อความหยิ่งทะนงของมนุษย์มากยิ่งขึ้น แม้แต่พระเจ้าที่รักเรานั้นก็ช่วยเราไม่ได้และเลือกที่จะไม่ช่วยเรา เพียงชั่วขณะหนึ่ง จนกว่าเราจะถ่อมตัวลงมากพอที่จะไม่อ้าปากพ่นคำโอ้อวดคำโตออกมา แต่อ้าปากและยอมรับว่าตนเองเป็นฝ่ายละทิ้งหนทางแห่งความชอบธรรมของพระเจ้าก่อน หรือจนกว่าเขานั้นจะร้องเรียกพระเจ้าก่อน ดังตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้พยากรณ์เอาไว้เกี่ยวกับชนชาติของพระองค์เอง(ยิว)ว่าพระองค์จะไม่เสด็จกลับมาจนกว่าชนชาติที่ใจมืดบอดและแข็งกระด้างนี้จะร้องว่า ขอให้ผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงทรงพระเจริญ!! เราสามารถจินตนาการได้ว่าพระเจ้าอนุญาตให้ศัตรูของเขาในเวลานั้น (ปฏิปักษ์พระคริสต์) บีบกดและข่มเหงจนเขาทั้งหลายจนมุม ไร้ทางออก สิ้นซึ่งปัญญาและความทะนงตัว คร่ำครวญด้วยน้ำตาไหลและใจที่หมดหวังทุกอย่าง และจากนั้นจึงจะเป็นฉากจบของหนังชีวิตที่แสนจะยาวนานของมนุษย์ชาติ การเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล นั้นเอง
ในวันที่มืดมิดดังกล่าวนั้น พระเจ้าเองมิได้มีคำสั่งแรกให้เอลียาห์ให้ส่งการฟื้นฟูมา หรือส่งการเคลื่อนไหวใหญ่ของพระวิญญาณมา หรือการอวยพรด้วยสิ่งที่อัศจรรย์ พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้ใจที่แข็งกระด้างถูกคว่ำลงเสียก่อน โดยการใช้วิกฤตการณ์ทางด้านภูมิอากาศเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พระเจ้าทรงรู้จักสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาเองเป็นอย่างดีทีเดียว ถ้าเพียงแต่พระองค์จะถอดลมหายใจของมนุษย์ออกไป เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็จบลงแล้ว แต่นี้เป็นวิถีที่ต่ำเกินกว่าพระเจ้าจะทรงคิดได้ เพราะหนทางของพระเจ้าไม่เหมือนหนทางของเรา ความคิดของพระองค์ก็ไม่เหมือนของเราเช่นกัน ทรงรอบคอบและกอปรด้วยพระกรุณา แค่เพียง “ความแห้งแล้ง” เท่านั้นที่พระเจ้าให้ แทนการที่มนุษย์เลือกที่เชื่อในพระและเทพที่แห้งแล้งเปล่าประโยชน์ แทนการเชื่อในความมั่งคั่งและร่ำรวยของตนแบบที่ปราศจากพระเจ้า
เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น คนที่อยู่ฝ่ายวิญญาณจะเริ่มสะกิดใจและถามพระเจ้าว่าเป็นเพราะสิ่งใด ตัวอย่างที่ชัดเจนอย่างกษัตริย์ดาวิดสอนเรา เมื่อชนชาติอิสราเอลประสบกับการกันดารอาหารอย่างใหญ่โตภายใต้การปกครองของท่าน ท่านเห็นสิ่งนี้เป็นเรื่องผิดปกติ จึงจำเป็นที่จะต้องถามพระเจ้า และพระองค์ทรงตอบท่านว่า ซาอูลได้ฆ่าชาวกิเบโอนซึ่งในอดีตเคยทำพันธสัญญากับโยชูวานั้น จึงเป็นเหตุให้เกิดภัยแล้งในอิสราเอล ดาวิดจึงไปหาชาวกิเบโอนและถามว่าควรจะรับผิดชอบกับสิ่งนี้อย่างไร ชาวกิเบโอนจึงบอกว่าให้เอาลูกชายของกษัตริย์ซาอูล7คนมาแขวนคอโทษฐานที่หักพันธสัญญา เมื่อได้ลงโทษตามนั้นแล้วการกันดารอาหารในอิสราเอลหยุดลงทันที เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้จากตัวมนุษย์เอง บ่อยครั้งที่เราโทษพระเจ้าทั้งๆที่เป็นความผิดของเราเอง อย่าลืม!! พระเจ้าทรงยุติธรรมและไม่เคยทำผิดพลาด อีกสิ่งหนึ่งที่สอนเราจากเรื่องนี้ก็คือ การหักพันธสัญญาหรือการผิดสัญญา เป็นเหตุให้เกิดปัญหาต่างๆ หรืออาจรุนแรงขนาดคำสาปแช่งมาเกาะกินตัวเราเองได้ ดังเช่นการกันดารอาหารที่เกิดขึ้น นั่นเอง
เมื่อเกิดภัยพิบัติเช่นนี้แล้ว เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเอลียาห์ให้ทำสิ่งนี้สำเร็จแล้ว พระองค์จะทรงนำเราไปในทางใดต่อไป มีพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงตอบได้ เป็นการตอบโดยพาเราไปยังที่หนึ่งซึ่งเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว
เครีท: สถานที่แห่งการเตรียมชีวิต
พระเจ้าให้เอลียาห์นำหมายสำคัญแห่งการกันดารมายังแผ่นดิน เพื่อจะนำการเปลี่ยนแปลงมายังใจชาวอิสราเอล และพระเจ้าเองก็นำการเปลี่ยนแปลงมายังใจของตัวเขาเองด้วย โดยทรงนำเขาไปยังลำธารเครีทเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง สิ่งนี้คืออะไร มีผลต่อชีวิตเอลียาห์อย่างไร? และมีความหมายอะไรต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่ออย่างไรบ้าง?
1 พงศกษัตริย์ 17:2-3 เขียนไว้ว่า แล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังท่านว่า "จงออกไปจากที่นี่และหันไปทางตะวันออก และซ่อนตัวอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
เมื่อเขาได้รับการเจิมแห่งการประกาศพระบัญชาของพระเจ้า (Declaration) พระเจ้าทรงเรียกเขาไปยังกระบวนการในการสร้างต่อไป คือการแยกตัวออกเป็นส่วนบริสุทธิ์ (Isolation) โดยให้เขาสนใจกับสิ่งใหม่ที่พระเจ้าตรัสต่อไปแทนที่การชื่นชมกับความสำเร็จในอดีต และกระบวนการของพระเจ้าก็ชัดเจนอย่างยิ่งที่จะมุ่งสร้างเราให้เหมือนพระองค์ เขาเป็นแบบอย่างที่ดีในเวลานี้ในการเชื่อฟังเสียงตรัสของพระเจ้า เพราะเมื่อเขาเชื่อฟัง เขาไม่หยุดอยู่กับที่ ประตูแห่งความสำเร็จในอดีตถูกปิดลง และประตูบานใหม่เปิดออก
บ่อยครั้งที่ผมเห็นว่า ความสำเร็จในอดีตกลับเป็นตัวหน่วงรั้งความสำเร็จในภายหน้าอย่างร้ายกาจทีเดียว เมื่อเรามองอดีตด้วยใจเย้อหยิ่ง เราไม่ต่างไปกับซาตานที่คิดว่าตนมีวันนี้เพราะตนเองสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง และพระเจ้าไม่ร่วมงานกับเขาอีกต่อไป บทสรุปของความเย้อหยิ่งคือสิ่งที่ว่างเปล่า นี่คือเหตุที่พระเจ้าบอกว่า เราใช้คนโง่เขลาเพื่อให้คนฉลาดได้อับอาย ขอบคุณพระเจ้าที่เอลียาห์ไม่ถูกฉุดรั้งโดยอดีต แล้วตัวของคุณล่ะ?
1 พงศ์กษัตริย์ 17:4-6 ว่า เจ้าจะดื่มน้ำจากลำธาร และเราได้บัญชาให้กาเลี้ยงเจ้าที่นั่น" ท่านจึงไปและกระทำตามพระวจนะของพระเจ้า ท่านไปอาศัยอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน และกาก็นำขนมปังและเนื้อมาให้ท่านในเวลาเช้า และนำขนมปังและเนื้อมาในเวลาเย็นและท่านก็ดื่ม น้ำจากลำธาร
เครีทเป็นที่ๆหนึ่งในอิสราเอล ใกล้เมืองเยรีโค ถ้าหากเรายืนมองจากพื้นดินไปอย่างหน้าผา จะเห็นภูเขาเหมือนถูกตัดหรือถูกเรื่อยออกไป เป็นทัศนียภาพที่สวยงามที่หนึ่งในอิสราเอล ที่น่าสนใจคือ เครีท (Cherith) มีความหมายว่า ตัดออก ทำลาย เผาผลาญ หมายถึงเราจะได้รับการทรงนำไปยังที่หนึ่งที่เราเองได้รับการตัดแต่งหรือจะต้องตัดขาดจากบางสิ่งที่เป็นนิสัยเก่าความเชื่อแบบเก่าๆ ความคิดที่ไม่เหมือนของพระเจ้า ชีวิตที่อยู่ในบาป ความรักและหลงใหลในโลกนี้ ตัดขาดการงานของเนื้อหนังทั้งสิ้น ตามพระวจนะของพระเจ้าที่มุ่งจะชำระเราเสียใหม่ด้วยความจริง พระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง
ประสบการณ์ของผมในเครีทที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้นั้น เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและหนักหนาเอาการเลยทีเดียว ผมต้องทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงแรกของประสบการณ์แห่งเพ็นเทคอสในชีวิตของผม (รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า) พระเจ้าประทานพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณที่ดีที่สุดซึ่งนั้นก็คือพระวิญญาณของพระเจ้า ส่วนผู้ที่เคยอาบน้ำร้อนมากก่อนอย่างพ่อแม่ของผมก็คอยเป็นกำลังใจและนำสิ่งดีๆมาอย่างชีวิตของผม เครีทเป็นที่ที่น่าชื่นใจ เพราะแม้โลกนี้จะวุ่นวายสักเพียงใด พระเจ้าทรงเลี้ยงดูไม่ขาด ผมสัมผัสการเจิมได้ตลอดเวลาเหมือนน้ำในลำธารเครีทที่เลี้ยงดูอย่างดี พระเจ้าประทานสิ่งต่างๆอย่างง่ายดาย เพียงแค่คิดเท่านั้นทุกสิ่งก็จะบันดาลมาอยู่ตรงหน้า นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้นกับผมในเวลานั้น และเอลียาห์ก็เช่นกันที่มีอีกาของพระเจ้ามาเลี้ยงดูอย่างดี น้ำในลำธารชั่งน่าชื่นใจเสียจริงๆขณะที่ชาวอิสราเอลในเวลานั้นต้องเจอกับการกันดารที่หนักหนา
ขนมปังในเครีทเปรียบดัง“พระพร”ที่พระเจ้าประทานมาอย่างมากมายเพราะเรามีการเจิมและการทรงสถิตของพระเจ้าที่คอยเลี้ยงดู เหมือนเราเป็นหีบพันธสัญญาที่นำความมั่งคั่งมาให้ทุกที่ที่เราไป น้ำในลำธารเครีทเปรียบเสมือน “การเจิมของพระวิญญาณ”ที่สดใหม่ทุกเวลา เราขนลุก เราหัวเราะ เราร้องไห้และเทใจออกมาต่อพระเจ้าอย่างจริงใจ เราสัมผัสได้ถึงไฟที่ร้อนอยู่ภายในจนตัวเราแทบระเบิดให้ได้ เราได้รับนิมิตที่นี่ เป็นที่ที่ทรงพลัง มีคนมารับการเจิมจากเรา เราเผยพระวจนะ การเห็นการอัศจรรย์ เราอธิษฐานบ่อยมากเพราะเชื่อมต่อกับพระเจ้าที่นี่ได้ง่ายมากๆ และเราคิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร
แต่อย่าลืมและหลงประเด็น ทุกสิ่งทุกอย่างยังจะไม่จบลงที่นี่ เพราะการทรงสถิตที่รุนแรงเช่นนี้มีเพื่อวัตถุประสงค์แห่งเครีทของพระเจ้าจะสำเร็จในชีวิตของเรา (ทำลายชีวิตเก่า สารภาพบาปและตัดขาดจากบาป ทำลายเนื้อหนังที่กบฏต่อพระเจ้า หักล้างคำแช่งสาปในอดีตและในสายตระกูล การบำบัดภายใน การจัดการกับวิญญาณชั่วที่อยู่ในเราและมีอิทธิพลต่อเรา การยอมจำนนต่อพระวิญญาณของพระเจ้า การสร้างความคุ้นชินกับพระเจ้าและเสียงของพระองค์ การฝึกฝนเราในการเจิมของพระเจ้าเพื่อทำพระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำ และสุดท้ายคือการตายต่อตัวเองอย่างสิ้นเชิง) และการทรงสถิตของพระเจ้าแบบนี้จะอยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้นเพื่อพยุงเราไว้ เหมือนเด็กเพิ่งคลอดและพ่อแม่ใกล้ชิดไม่ห่าง เราจะต้องโตขึ้นและเดินด้วยตัวเองวันหนึ่งข้างหน้า เพราะลำธารเครีทแห่งนี้กำลังแห้งลงทุกทีๆ แย่แล้ว!! เราจะต้องออกแรงของตัวเองแล้ว!!
เราไม่มีวันรู้ว่าพระเจ้าทรงนำเราไปทางไหน? สร้างเราแบบไหน? เราอยู่จุดในบนเส้นทางของพระเจ้า? นานเท่าไร? 1ปี? 5ปี? เราเก่งแล้วหรือยัง? เราไม่มีวันรู้ได้เลย เพียงแต่เราตระหนักได้ว่า นี่คือกระบวนการของพระเจ้า (Divine Process) พระเจ้าจะนำเรามายังเครีท (แม้คุณจะต้องการหรือไม่) พระองค์จะดึงเราออกจากฝูงชน และนำเรามายังการชำระจนเราจะเป็นผู้ที่ใช้การได้และนำเราไปยังจุดหมาย
จงจำไว้ว่า “คนที่เข้าสู่เครีท เป็นผู้ที่กำลังเดินไปสู่จุดหมายของพระเจ้า” อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ โยเซฟ โมเสสเอลียาห์ ดาวิด ดาเนียล เปโตร เปาโล ยอห์น และแม้แต่พระเยซูเองล้วนเคยผ่านเครีทของพระเจ้าทั้งสิ้น และคุณก็เช่นกัน!!
(34:55)










เครื่องบูชาที่อยู่บนแท่นบูชาของเอลียาห์ ได้รับการตอบด้วยไฟเพราะเหตุแห่งคำอธิษฐานด้วยความถ่อมใจฉันใด จิตใจที่ถ่อมและแตกสลายของชาวยิวที่มีต่อพระเจ้าที่ได้อธิษฐานเชิญพระองค์มานั้น ก็จะได้รับการตอบด้วยการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์เจ้าฉันนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น