ผมฝันเห็นสวรรค์ชั้นที่สองซึ่งก็คืออวกาศนั่นเอง ที่ซึ่งสงครามฝ่ายวิญญาณเริ่มขึ้น โดยเริ่มฝันว่า
มีน้องคนหนึ่งยืนสอนผมเกี่ยวกับการถูกขัดขวางในมิติฝ่ายวิญญาณ ที่ทำให้คำอธิษฐานถึงพระเจ้าช้าลง
โดยมีซาตานซั่งเป็นมังกรขวางอยู่หน้าประตูสวรรค์ - (น้องคนที่ผมเห็นในฝันนั้น ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ผมคิดว่าน่าจะเป็นทูตสวรรค์ของพระเจ้าที่มาบอกผม ในรูปของเด็กคนนั้น)
ในอวกาศนั้นมีเส้นทางที่สามารถไปให้ถึงพระบัลลังก์ของพระเจ้าได้
โดยเป็นทางที่โค้ง แคบและต้องอาศัยแรงเหวี่ยงในการเคลื่อนผ่านไป แต่แล้วสุดทางก่อนเข้าสู่ประตูสวรรค์ชั้นที่สามนั้นก็มี
ความหนักและแคบ ซั่งเป็นการขัดขวางครั้งสุดท้ายก่อนที่จะพบพระเจ้า
มีมังกรใหญ่ซึ่งก็คืองูดึกดำบรรพ์อยู่ที่นั้นเอง
มันสร้างบรรยากาศแห่งความชั่วที่นั่นเพื่อเป็นสภาพที่เหมาะต่อการสร้างบัลลังก์ของมันเอง
คือที่ที่สูงสุดที่สุดของสวรรค์ชั้นที่สองนั่นเอง
แต่โดยคำอธิษฐานและโดยการขับเคลื่อนของพระวิญญาณ จึงสามารถขยายทางที่แคบนั้นได้และเมื่อผ่านไปได้โดยการทรงนำของพระวิญญาณแล้ว บนแผ่นดินโลกจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลง
ในพระธรรม เอเฟซัส บทที่ 6:12 ได้บอกเราเกี่ยวกับระดับขั้นของสิ่งที่ีอำนาจของอาณาจักรซาตานบนฟ้าอากาศ โดยเริ่มต้นจากการเรียงสิ่งที่มีอำนาจน้อยไปหามาก ซึ่งหากเราทำความเข้าใจเราจะรู้ยูทธศาสตร์ของมันและต่อสู้กับมันได้ ซึ่ง ความแข็งแกร่งของอาณาจักรของมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า "การสรรเสริญ" แต่สรรเสริญสิ่งที่อยู่ในอาณาจักรของมัน นั่นคือสิ่งของของ "ความมืด"
หากเจาะลึกให้เห็นภาพได้ก็จะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากทีเดียว...
การสรรเสริญพระเจ้า ด้วยจิตวิญญา่ณและความจริง เป็นยุทธศาสตร์ของพระเจ้าขั้นสูงสุด เพราะเมื่อที่ใดที่มีการสรรเสริญ พระเจ้าก็ทรงเสด็จลงมาประทับเหนือคำสรรเสริญเหล่านั้น พร้อมกับความสง่างามของพระองค์เองด้วยเช่นกัน...
วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554
การเจิมของเอลียาห์
การเจิมของเอลียาห์
พระเจ้าทรงเรียกเอลียาห์ออกมาจากแหล่งที่อยู่เดิมของเขาในช่วงเวลาที่อิสราเอลเต็มไปด้วยความเสื่อมถอยฝ่ายวิญญาณ เวลาที่เต็มไปด้วยความเลวร้ายมากมาย เวลาที่ไสยศาสตร์ครอบครองทั้งเมือง และแน่นอน การเจิมของเขาจะมาเพื่อช่วยให้จิตใจของชาวอิสราเอลกลับมายังพระทัยของพระบิดาอีกครั้ง ในยุคของเราก็เป็นเวลาที่มืดมนและต้องการการเจิมแบบเอลียาห์ที่จะเข้ามาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เหตุใดเราต้องรับรู้เกี่ยวกับชีวิตของชายคนนี้ ก็เป็นเพราะว่า การเจิมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะได้รับจากรพระเจ้านั้นคือการเจิมของเอลียาห์ (เราไม่นับฤทธิ์เดชของพระเยซูเพราะพระองค์เป็นที่สุดของจักรวาล เป็นพระเจ้าของเรา เอเมน !!) แม้แต่การเจิมที่มากกว่าเป็น 2 เท่าที่เอลีชาได้รับนั้นก็ยังเป็นการเจิมของเอลียาห์อยู่ดี
วันแห่งความมืดมิด
เมื่อเราเท้าความย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์ ซาอูล ดาวิดและโซโลมอน เป็นเวลา100ปี ที่อิสราเอลประสบกับสันติสุข ความเป็นหนึ่งเดียว และความมั่งคั่ง แต่เป็นเพราะเรโฮโบอัมทำผิดที่ไปเชื่อคำปรึกษาของสหายน้อยประสบการณ์และปฏิเสธคำปรึกษาของนักปราชญ์ ก่อให้เกิดความแตกแยกในอิสราเอล เป็น 2อาณาจักร อาณาจักรเหนือ คืออิสราเอล มีเมืองหลวงคือสะมาเรีย และอาณาจักรใต้คือ ยูดาห์ มีเมืองหลวงคือเยรูซาเล็ม โดยอิสราเอลที่กษัตริย์ 19 คน เป็นกษัตริย์ชั่วทั้งหมด อาณาจักรยูดาห์ มีกษัตริย์ 17 คน เป็นกษัตริย์ดี 8 พระองค์ และเป็นกษัตริย์ชั่วถึง 9 พระองค์ พระเจ้าทรงส่งผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ ไปยังอาณาจักรอิสราเอล เป็นอาณาจักรเหนือ เพราะนั่นเป็นเวลาที่ความมืดมิดได้ถึงจุดขีดสูดของความชั่ว เท่าที่อิสราเอลเคยมีมา
พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า กษัตริย์อาหับได้ปกครองและมีนางเยเซเบลเป็นมเหสี ซึ่งพ่อของนางเป็นกษัตริย์ของเมืองไซดอน และเป็นปุโรหิตของพระบาอัล เมืองไซดอนเป็นศูนย์กลางการนมัสการพระเทียมเท็จ ชื่อ “บาอัล” ทั้งๆที่มันเป็นวิญญาณชั่วตัวหนึ่ง แต่คนอิสราเอลเรียกมันว่า “พระ” เพราะเหตุแห่งความมืดบอดแห่งจิตวิญญาณ เยเซเบลมีพ่อเป็นหัวหน้าลัทธิ “บาอัล” ในสมัยนั้น และแน่นอน นางเองก็เป็นผู้นำลัทธิอันชั่วร้ายนี้ในอิสราเอลเช่นกัน ลัทธินี้สอนเกี่ยวกับการบูชาผีแห่งความวิปริตทางเพศ (Demon of Sexual Perversion) และสอนเกี่ยวกับ การบูชาวิญญาณแห่งความรุนแรง โดยการฆ่าเด็กบูชายัญแก่พระเทียมเท็จเหล่านี้
ทุกวันนี้หากเราดูในสังคมของเราสามารถเห็นการงานของพระเทียมเท็จและวิญญาณของเยเซเบลนี้ยังคงทำงานอยู่ในทุกชั่วอายุคน แม้ชื่อของพระจะเปลี่ยนไป แต่เอกลักษณ์และวิธีการชั่วร้ายของมันยังไม่เปลี่ยน มันปรารถนาการฆาตกรรม การทำแท้ง การกระทำผิดศีลธรรมทางเพศ (รักร่วมเพศ ร่วงประเวณี กับคน สัตว์ และแม้แต่รูปเคารพ) แค่คุณเปิดโทรทัศน์ดู ก็จะได้เห็นการงานของวิญญาณชั่วเหล่านี้มีอยู่ดาษดื่น... สิ่งที่เป็นเหตุให้วิญญาณเยเซเบลเข้ามาได้คือ “ความแตกแยก” (Division) เริ่มต้นจากเราแตกแยกกับพระเจ้า ชนชาติหนึ่งแตกจากชนชาติหนึ่ง สามีแยกทางกับภรรยา หรือแม้แต่คริสตจักรแตกแยกกันเอง ความแตกแยกทุกแบบที่ได้กล่าวมานี้เอง เป็นประตูให้กับวิญญาณเยเซเบลสามารถเข้ามาควบคุมและครอบครอง นี่เป็นเหตุที่เปาโลกล่าวถึงบาปที่ต้องห้ามนี้ในหนังสือกาลาเทียบทที่ 5
เมื่อความมืดมิดที่สุดมาถึงและสามารถจับต้องได้ นั่นเป็นเวลาที่คนทั้งหลายจะร้องหาแสงสว่าง เป็นเวลาที่การเจิมของพระเจ้าจะเทลงมานั่นคือการเจิมอย่างเอลียาห์ เวลาของเอลียาห์ไม่ใช่เวลาแห่งพระสิริของพระเจ้า หลายๆครั้งที่เราร้องเพลง “นี่เป็นเวลาของเอลียาห์” เราไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า เวลาของเอลียาห์นั้น คือเวลาแห่งไสยศาสตร์ เวลาแห่งความวิปริตทางเพศ เวลาแห่งความมืด เวลาแห่งความโลภ เวลาแห่งความเศร้าโศก เวลาแห่งการฆาตกรรม และความแตกแยก ดังนั้นเมื่อเราร้องเพลงนี้ เรากำลังพยากรณ์ว่า เวลานี้เป็นเวลาที่การเจิมของเอลียาห์กำลังจะเกิดขึ้น เพราะความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นกับอิสราเอลในเวลานั้นก็ไม่ได้ต่างไปกับเวลานี้ที่เรามีชีวิตอยู่เลย เราต้องการแสงสว่างแห่งพระวิญญาณของพระเจ้ากันสิ้นทุกคน การเจิมของพระเจ้าที่ประชากรของพระองค์ไม่เคยสัมผัสกำลังรอเวลาที่จะระเบิดออก
พระเจ้าทรงต้องการบุคคลผู้นั้นที่จะรับพระบัญชา รองรับพระทัย และรองรับฤทธานุภาพแห่งการเจิมของพระองค์ ในการหันใจพ่อกลับมาหาลูก และหันใจลูกกลับมาหาพ่อ ดั่งในอดีตที่พระองค์ทรงเจอคนที่ใช้การได้มาแล้วอย่างเอลียาห์นั่นเอง เขาผู้นี้จึงเป็นบรรพบุรุษแห่งความเชื่อที่สร้างทางเดินให้แก่เราแล้ว
การทรงเรียก
1 พงค์กษัตริย์ 17:1 ได้บอกแก่เราว่า ฝ่ายเอลียาห์เป็นชาวทิชบีและได้อาศัยอยู่ในกิเลอาด นี่เป็นบทแรกที่พูดเกี่ยวกับชีวิตของชายผู้นี้ ไม่มีใครู้จักชีวิตของเขา ที่อยู่ของเขา บ้าน หรือครอบครัวของเขา การที่พระคัมภีร์เริ่มต้นเรื่องของเอลียาห์อย่างทันทีทันใด ไม่มีจุดเริ่มต้นเกี่ยวกับชีวิตของเขานั้น ผมอยากจะให้ความเห็น ณ จุดนี้ว่า พระเจ้าต้องการให้เราทุกคนรู้ว่า พระองค์ไม่ได้ทรงเห็นแก่ผู้ใด พระเจ้ามิได้สนใจอดีตของเรา เราเป็นลูกใคร เรารวยหรือจน เราเกิดที่ใด บ้านนอกหรือเมืองหลวง อายุน้อยหรือแก่อาวุโส เรียนดีหรือไม่ หรืออื่นๆนั้น พระเจ้าทรงเห็นว่าไม่เป็นเรื่องที่สำคัญเลย ขอแค่เราเป็นคนที่พระองค์ใช้การได้ โดยการตอบสนองการทรงเรียกเท่านั้น ผมแอบคิดว่า แท้จริงแล้วพระเจ้าเรียกคนอื่นๆก่อนเอลียาห์ไหม? แต่มีเพียงเอลียาห์เท่านั้นใช่หรือไม่ที่ตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้า? ผมคิดว่า พระองค์ทรงเรียกหลายๆคนพร้อมๆกัน แต่พระองค์ก็ทรงรู้ก่อนแล้วว่าจะมีเพียงเอลียาห์เท่านั้น ชีวิตของเราก็เช่นกัน กี่ครั้งที่พระเจ้าเรียกท่านและท่านยินดีทำตามเสียงนั้น? เรายินดีที่จะเป็นตามที่พระองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับเราหรือไม่? ยินดีที่จะเดินบนหนทางที่ไม่สวยหรูหรือไม่? ผมคิดว่าพระเจ้ายังคงถามพวกเราเช่นนี้อยู่เสมอ
พระองค์ยังทรงแสวงหาคนเป็นอิสระต่อภาระผูกพันของโลกนี้เสมอ เช่น อิสระจากครอบครัว(บางคนพระเจ้าทรงเรียกให้เขาปราศจากครอบครัว ใครรับได้ก็รับเอาเถิด) อิสระจากพันธนาการแห่งอารมณ์(ผู้ที่ทำสิ่งใดก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์) อิสระจากประเพณีนิยม อิสระจากมลทินของโลกนี้ อิสระจากวัฒนธรรมที่ไร้ประโยชน์ พระเยซูจะต้องมาเป็นที่หนึ่ง พระองค์มิได้ทรงสนใจว่าเราเป็นลูกใคร หรือเก่งเพียงใด พระองค์ได้กล่าวไว้อย่างรุนแรงทีเดียวว่า ผู้ใดจับขันไถแล้วหันหลังกลับผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา พระองค์แสดงความต้องการของพระองค์ ทรงเรียกให้เราเป็นไทจากการติดพันอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลาย หากเราควบคุมหรือละทิ้งสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาไม่ได้ เรายังไม่ควรค่ากับการเจิมที่พระเจ้าจะประทานให้เพื่อปลดแอกให้แก่ประชากรของพระองค์ในยุคแห่งความเชื่อร้ายนี้ หากสิ่งใดที่ถ่วงท่านหรือหน่วงรั้งท่านจากพระเจ้าหรือจากหนทางของพระองค์ ขอให้ท่านแน่ใจว่า ท่านจะละทิ้งมันเพื่อจะได้พระเยซูคริสต์เป็นรางวัลแห่งชีวิต
ฝ่ายเอลียาห์ชาวทิชบีผู้ซึ่งตั้งอาศัยอยู่ในกิเลอาด ได้ทูลอาหับว่า "พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ซึ่งข้าพระบาทปฏิบัติทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด... จากประโยคนี้เอลียาห์ได้กล่าวและแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งปัจจุบัน พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า “เราเป็น” หรือ “ยาห์เวห์” นั่นเอง เอลียาห์ได้บอกจุดยืนของตนอย่างชัดเจนว่าท่านเองเป็นผู้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษซึ่งเหล่าอัครปิตา(อับราฮัม อิสอัคและยาโคบ)ได้ปรนนิบัติเช่นกัน ซึ่งนี้ก็ยังขยายความให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งเขามีต่อพระเจ้าอย่างมาก เขาเป็นตัวแทนของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว เขามิได้กล่าวถึง กลุ่มหรือคณะที่เขาอยู่ เขาตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าเขาเพียงสิ่งเดียว และพระเจ้าก็ทรงลิขิตชีวิตที่ทรงพลังให้แก่เขา
เอลียาห์เผยตัวเองออกมาในเวลาที่มืดมิดที่สุดของชนชาติอิสราเอล เขาถูกเรียกให้เผยตัวออกมาในเวลาที่ความมืด ความตาย การฆาตกรรม การบูชาพระเทียมเท็จ และไสยศาสตร์ลัทธิ“บาอัล” ครอบครองทุกหัวระแหงของอิสราเอล ศีลธรรมทั้งสิ้นหมดความหมายอย่างสิ้นเชิง จิตวิญญาณของชาวอิสราเอลในวันเวลาเหล่านั้นอับจนหนทางทั้งสิ้นเมื่อเขาเลือกสิ่งอื่นแทนพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้เขาทำบางสิ่งที่จะนำการเปลี่ยนแปลงมายังแผ่นดิน พระเจ้าทรงเรียกให้เขาเผยพระวจนะเหนือแผ่นดินอิสราเอล เขากล่าวว่า จะไม่มีน้ำค้างหรือฝนในปีเหล่านี้ นอกจากตามคำของข้าพระบาท" 1 พงศ์กษัตริย์ 17:1 เขาเริ่มต้นพยากรณ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วแผ่นดินของอิสราเอล สิ่งนี้เรียกว่า “การกันดารอาหาร” พระเจ้าเริ่มต้นที่จะตัดสิ่งที่จำเป็นแก่พวกเขาออกไปเพื่อให้เกิดการตื่นตัว และอยู่ในสภาวะที่ต้องดิ้นรนเพื่อตนเองอีกครั้ง บทเรียนฝ่ายวิญญาณจากสิ่งนี้สามารถสอนเราได้ตลอดหนทางการเดินกับพระเจ้า พระองค์ทรงรักเราและปรารถนาให้เราแสวงหาพระองค์และรักพระองค์ตอบเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อผลดีของเราเอง เมื่อเรารักพระเจ้าสิ้นสุดจิตสุดใจแล้ว แม้สถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นใดจะเกิดขึ้นกับเรานั้น พระองค์จะนำสิ่งร้ายมาก่อให้เป็นผลดีแก่คนที่รักพระองค์ คือผู้ที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์นั้น แต่ถ้าหากเราเป็นเพียงอุ่นๆ เหยียบเรือสองแคม พระองค์ผู้ทรงรักเรานั้นก็จะกระทำบางสิ่งให้เรากลับมาสู่การพึ่งพาพระองค์อีกครั้งหนึ่งให้จงได้ พระองค์ทำได้ทุกสิ่ง และจะทำมากขึ้นในยุคของเรา ยุคที่ทุกคนมีความรักที่เยือกเย็น ยุคที่ความหลงผิดครอบงำจิตใจคนมากมาย และนี่เป็นเหตุที่พระองค์ทรงรอคอยเราเสมอ รอให้คนเขามาสู่ความรักในพระคริสต์ผู้พร้อมที่จะลบลืมบาปมากมายทั้งสิ้นของเรา
สิ่งเดียวกันในวันของเอลียาห์และวันของเรา
การกันดารอาหารก็เป็นเหตุร้ายหนึ่งที่จะเป็นโอกาสให้คนอิสราเอลได้คิดไตร่ตรองชีวิตที่นอกใจพระเจ้า เราถือว่าการมีพระอื่นนอกจากพระเจ้าเที่ยงแท้ หรือพระเจ้าแห่งอิสราเอลนั้น เป็นการร่วงประเวณีฝ่ายวิญญาณ บ่อยครั้งที่พันธะสัญญาเดิมขยายความการกระทำเช่นนี้ว่า เป็นสิ่งที่ลามก และน่าสะอิดสะเอียนต่อพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าต้องการเจ้าสาวของพระองค์คืนมาจากเงื้อมมือของขโมยผู้ฉวยโอกาส การกันดารอาหารเป็นจุดเริมต้นของการเปลี่ยนแปลงฝ่ายวิญญาณนั่นเอง หากเราได้ดูในหนังสือปฐมกาลแล้ว เราจะรู้ว่า การกันดารอาหารในแต่ละครั้งนั้นส่งผลให้คนของพระเจ้าต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง ดูตัวอย่างชีวิตของ อับราฮัม อิสอัค และ ยาโคบ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากให้เราได้ศึกษา เมื่อพระเจ้าทรงปิดประตูหนึ่ง พระองค์จะทรงนำเราด้วยการเปิดอีกประตูหนึ่ง สิ่งที่เราเลือกได้ก็คือ เดินผ่านประตูที่พระเจ้าทรงเปิดนั้น หรือ อยู่ที่เดิม ไม่ไปไหนทั้งสิ้น คนที่มีสายตาฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้าจะเลือกเดินตามที่พระเจ้าทรงนำนั้น เพราะเหตุการณ์กันดารทำให้ยาโคบต้องหนีไปอียิปต์ โดยโยเซฟมีอำนาจและครอบครองอยู่ที่นั่น คนฝ่ายวิญญาณจะรู้จักสังเกตกาลเวลาและหมายสำคัญ เข้าใจพระทัยพระเจ้า และสามารถเลือกตามที่พระเจ้าต้องการได้
ภัยแล้งกำลังส่งเสียงกระซิบที่ดังก้องในวิญญาณจิตของคนยิวทั้งสิ้นว่า “กลับใจเสียใหม่ ๆ” และยังบอกแก่โลกในทุกวันนี้เช่นเดียวกัน เหตุที่เรื่องราวของเอลียาห์สำคัญมากสำหรับเราทุกคนที่อยู่ในยุคสุดท้ายนี้ เป็นเพราะ สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นภาพสะท้อนให้เราเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในนาทีนี้ เราทุกคนเหมือนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในวันเวลาของเอลียาห์นั่นเอง วิกฤติกาลทางเศรษฐกิจก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่งเช่นกันที่กระตุ้นให้คนทั้งโลกนี้กลับมาหาพระเจ้า ผมเชื่อว่าพระเจ้าพระเจ้าทรงยอมเลือกที่จะเขย่าสิ่งต่างๆรอบข้างเราเพื่อให้เราตื่นจากความเฉื่อยชาและตื่นจากการหลับไหลฝ่ายวิญญาณ แทนที่จะเอาชีวิตเราไปโดยไม่ได้ให้โอกาสเราในการแก้ตัว พระเจ้าประทานพระคุณเสมอแม้ในขณะที่เราเองเป็นคนบาปอยู่ พระคริสต์ทรงตายเพื่อเรา และพระเจ้าทรงหวังว่าเราจะตอบสนองความรักและพระคุณของพระองค์โดยเลือกที่จะเชื่อในพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เช่นกัน แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นพระเจ้าก็จะทรงเลือกที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้เรารู้สึกว่าเราต้องพึ่งพาพระองค์แทนการเชื่อในตัวเองได้แล้ว
ภัยธรรมชาติ ไม่ได้เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เป็นหมายสำคัญแห่งการเวลา เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วโดยพระปัญญาของพระเจ้า เป็นวาระแห่งการเขย่าในยุคสุดท้าย ยุคที่จิตใจของคนแข็งกระด้างและยุคที่ความรักเยือกเย็นลง ทำไมผมจึงพูดอย่างนี้ เพราะพระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า
สดุดี 93:1
พระเจ้าทรงครอบครอง พระองค์ทรงสวมความยิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงสวมฉลองพระองค์พระองค์ ทรงเอาพระกำลังคาดพระองค์ โลกได้สถาปนาไว้แล้ว มันจะไม่หวั่นไหว
ความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างนั้นมีมากเหลือล้น พระองค์สร้างทรงสิ่งในโลกให้เขาดูแลและครอบครอง เมื่อพระเจ้าทรงวางรากฐานของโลกนี้เอาไว้อย่างมั่นคงในครั้งแรกเริ่มนั้น พระเจ้าทรงมอบสิทธิอำนาจที่เพื่อครอบครอง แต่เมื่อมนุษย์หยิ่งทะนงและกบฏต่อพระเจ้า มนุษย์ขายสิทธิอำนาจให้แก่ซาตานที่จะครอบครองโลก พวกเขาพยายามที่จะเป็นผู้ปกครองที่ไม่ได้อยู่ภายใต้พระเจ้าอีกต่อไป ลืมการปกครองด้วยความดีงามของพระเจ้า พระองค์จึงต้องเขย่าโลกนี้เพื่อจะเรียกมนุษย์กลับมาหาพระองค์ เมื่อในฝ่ายกายภาพแผ่นดินไหวนั้น พระเจ้าก็ได้ทรงเขย่าท้องฟ้าสวรรค์ที่เป็นที่อยู่ของซาตานในฝ่ายวิญญาณเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้อาณาเขตในระดับพื้นผิวโลกต้องรับผลกระทบจากฝ่ายวิญญาณเช่นกัน
เมื่อความหยิ่งทะนงของมนุษย์มากยิ่งขึ้น แม้แต่พระเจ้าที่รักเรานั้นก็ช่วยเราไม่ได้และเลือกที่จะไม่ช่วยเรา เพียงชั่วขณะหนึ่ง จนกว่าเราจะถ่อมตัวลงมากพอที่จะไม่อ้าปากพ่นคำโอ้อวดคำโตออกมา แต่อ้าปากและยอมรับว่าตนเองเป็นฝ่ายละทิ้งหนทางแห่งความชอบธรรมของพระเจ้าก่อน หรือจนกว่าเขานั้นจะร้องเรียกพระเจ้าก่อน ดังตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้พยากรณ์เอาไว้เกี่ยวกับชนชาติของพระองค์เอง(ยิว)ว่าพระองค์จะไม่เสด็จกลับมาจนกว่าชนชาติที่ใจมืดบอดและแข็งกระด้างนี้จะร้องว่า ขอให้ผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงทรงพระเจริญ!! เราสามารถจินตนาการได้ว่าพระเจ้าอนุญาตให้ศัตรูของเขาในเวลานั้น (ปฏิปักษ์พระคริสต์) บีบกดและข่มเหงจนเขาทั้งหลายจนมุม ไร้ทางออก สิ้นซึ่งปัญญาและความทะนงตัว คร่ำครวญด้วยน้ำตาไหลและใจที่หมดหวังทุกอย่าง และจากนั้นจึงจะเป็นฉากจบของหนังชีวิตที่แสนจะยาวนานของมนุษย์ชาติ การเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล นั้นเอง
ในวันที่มืดมิดดังกล่าวนั้น พระเจ้าเองมิได้มีคำสั่งแรกให้เอลียาห์ให้ส่งการฟื้นฟูมา หรือส่งการเคลื่อนไหวใหญ่ของพระวิญญาณมา หรือการอวยพรด้วยสิ่งที่อัศจรรย์ พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้ใจที่แข็งกระด้างถูกคว่ำลงเสียก่อน โดยการใช้วิกฤตการณ์ทางด้านภูมิอากาศเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พระเจ้าทรงรู้จักสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาเองเป็นอย่างดีทีเดียว ถ้าเพียงแต่พระองค์จะถอดลมหายใจของมนุษย์ออกไป เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็จบลงแล้ว แต่นี้เป็นวิถีที่ต่ำเกินกว่าพระเจ้าจะทรงคิดได้ เพราะหนทางของพระเจ้าไม่เหมือนหนทางของเรา ความคิดของพระองค์ก็ไม่เหมือนของเราเช่นกัน ทรงรอบคอบและกอปรด้วยพระกรุณา แค่เพียง “ความแห้งแล้ง” เท่านั้นที่พระเจ้าให้ แทนการที่มนุษย์เลือกที่เชื่อในพระและเทพที่แห้งแล้งเปล่าประโยชน์ แทนการเชื่อในความมั่งคั่งและร่ำรวยของตนแบบที่ปราศจากพระเจ้า
เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น คนที่อยู่ฝ่ายวิญญาณจะเริ่มสะกิดใจและถามพระเจ้าว่าเป็นเพราะสิ่งใด ตัวอย่างที่ชัดเจนอย่างกษัตริย์ดาวิดสอนเรา เมื่อชนชาติอิสราเอลประสบกับการกันดารอาหารอย่างใหญ่โตภายใต้การปกครองของท่าน ท่านเห็นสิ่งนี้เป็นเรื่องผิดปกติ จึงจำเป็นที่จะต้องถามพระเจ้า และพระองค์ทรงตอบท่านว่า ซาอูลได้ฆ่าชาวกิเบโอนซึ่งในอดีตเคยทำพันธสัญญากับโยชูวานั้น จึงเป็นเหตุให้เกิดภัยแล้งในอิสราเอล ดาวิดจึงไปหาชาวกิเบโอนและถามว่าควรจะรับผิดชอบกับสิ่งนี้อย่างไร ชาวกิเบโอนจึงบอกว่าให้เอาลูกชายของกษัตริย์ซาอูล7คนมาแขวนคอโทษฐานที่หักพันธสัญญา เมื่อได้ลงโทษตามนั้นแล้วการกันดารอาหารในอิสราเอลหยุดลงทันที เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้จากตัวมนุษย์เอง บ่อยครั้งที่เราโทษพระเจ้าทั้งๆที่เป็นความผิดของเราเอง อย่าลืม!! พระเจ้าทรงยุติธรรมและไม่เคยทำผิดพลาด อีกสิ่งหนึ่งที่สอนเราจากเรื่องนี้ก็คือ การหักพันธสัญญาหรือการผิดสัญญา เป็นเหตุให้เกิดปัญหาต่างๆ หรืออาจรุนแรงขนาดคำสาปแช่งมาเกาะกินตัวเราเองได้ ดังเช่นการกันดารอาหารที่เกิดขึ้น นั่นเอง
เมื่อเกิดภัยพิบัติเช่นนี้แล้ว เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเอลียาห์ให้ทำสิ่งนี้สำเร็จแล้ว พระองค์จะทรงนำเราไปในทางใดต่อไป มีพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงตอบได้ เป็นการตอบโดยพาเราไปยังที่หนึ่งซึ่งเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว
เครีท: สถานที่แห่งการเตรียมชีวิต
พระเจ้าให้เอลียาห์นำหมายสำคัญแห่งการกันดารมายังแผ่นดิน เพื่อจะนำการเปลี่ยนแปลงมายังใจชาวอิสราเอล และพระเจ้าเองก็นำการเปลี่ยนแปลงมายังใจของตัวเขาเองด้วย โดยทรงนำเขาไปยังลำธารเครีทเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง สิ่งนี้คืออะไร มีผลต่อชีวิตเอลียาห์อย่างไร? และมีความหมายอะไรต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่ออย่างไรบ้าง?
1 พงศกษัตริย์ 17:2-3 เขียนไว้ว่า แล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังท่านว่า "จงออกไปจากที่นี่และหันไปทางตะวันออก และซ่อนตัวอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
เมื่อเขาได้รับการเจิมแห่งการประกาศพระบัญชาของพระเจ้า (Declaration) พระเจ้าทรงเรียกเขาไปยังกระบวนการในการสร้างต่อไป คือการแยกตัวออกเป็นส่วนบริสุทธิ์ (Isolation) โดยให้เขาสนใจกับสิ่งใหม่ที่พระเจ้าตรัสต่อไปแทนที่การชื่นชมกับความสำเร็จในอดีต และกระบวนการของพระเจ้าก็ชัดเจนอย่างยิ่งที่จะมุ่งสร้างเราให้เหมือนพระองค์ เขาเป็นแบบอย่างที่ดีในเวลานี้ในการเชื่อฟังเสียงตรัสของพระเจ้า เพราะเมื่อเขาเชื่อฟัง เขาไม่หยุดอยู่กับที่ ประตูแห่งความสำเร็จในอดีตถูกปิดลง และประตูบานใหม่เปิดออก
บ่อยครั้งที่ผมเห็นว่า ความสำเร็จในอดีตกลับเป็นตัวหน่วงรั้งความสำเร็จในภายหน้าอย่างร้ายกาจทีเดียว เมื่อเรามองอดีตด้วยใจเย้อหยิ่ง เราไม่ต่างไปกับซาตานที่คิดว่าตนมีวันนี้เพราะตนเองสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง และพระเจ้าไม่ร่วมงานกับเขาอีกต่อไป บทสรุปของความเย้อหยิ่งคือสิ่งที่ว่างเปล่า นี่คือเหตุที่พระเจ้าบอกว่า เราใช้คนโง่เขลาเพื่อให้คนฉลาดได้อับอาย ขอบคุณพระเจ้าที่เอลียาห์ไม่ถูกฉุดรั้งโดยอดีต แล้วตัวของคุณล่ะ?
1 พงศ์กษัตริย์ 17:4-6 ว่า เจ้าจะดื่มน้ำจากลำธาร และเราได้บัญชาให้กาเลี้ยงเจ้าที่นั่น" ท่านจึงไปและกระทำตามพระวจนะของพระเจ้า ท่านไปอาศัยอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน และกาก็นำขนมปังและเนื้อมาให้ท่านในเวลาเช้า และนำขนมปังและเนื้อมาในเวลาเย็นและท่านก็ดื่ม น้ำจากลำธาร
เครีทเป็นที่ๆหนึ่งในอิสราเอล ใกล้เมืองเยรีโค ถ้าหากเรายืนมองจากพื้นดินไปอย่างหน้าผา จะเห็นภูเขาเหมือนถูกตัดหรือถูกเรื่อยออกไป เป็นทัศนียภาพที่สวยงามที่หนึ่งในอิสราเอล ที่น่าสนใจคือ เครีท (Cherith) มีความหมายว่า ตัดออก ทำลาย เผาผลาญ หมายถึงเราจะได้รับการทรงนำไปยังที่หนึ่งที่เราเองได้รับการตัดแต่งหรือจะต้องตัดขาดจากบางสิ่งที่เป็นนิสัยเก่าความเชื่อแบบเก่าๆ ความคิดที่ไม่เหมือนของพระเจ้า ชีวิตที่อยู่ในบาป ความรักและหลงใหลในโลกนี้ ตัดขาดการงานของเนื้อหนังทั้งสิ้น ตามพระวจนะของพระเจ้าที่มุ่งจะชำระเราเสียใหม่ด้วยความจริง พระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง
ประสบการณ์ของผมในเครีทที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้นั้น เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและหนักหนาเอาการเลยทีเดียว ผมต้องทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงแรกของประสบการณ์แห่งเพ็นเทคอสในชีวิตของผม (รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า) พระเจ้าประทานพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณที่ดีที่สุดซึ่งนั้นก็คือพระวิญญาณของพระเจ้า ส่วนผู้ที่เคยอาบน้ำร้อนมากก่อนอย่างพ่อแม่ของผมก็คอยเป็นกำลังใจและนำสิ่งดีๆมาอย่างชีวิตของผม เครีทเป็นที่ที่น่าชื่นใจ เพราะแม้โลกนี้จะวุ่นวายสักเพียงใด พระเจ้าทรงเลี้ยงดูไม่ขาด ผมสัมผัสการเจิมได้ตลอดเวลาเหมือนน้ำในลำธารเครีทที่เลี้ยงดูอย่างดี พระเจ้าประทานสิ่งต่างๆอย่างง่ายดาย เพียงแค่คิดเท่านั้นทุกสิ่งก็จะบันดาลมาอยู่ตรงหน้า นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้นกับผมในเวลานั้น และเอลียาห์ก็เช่นกันที่มีอีกาของพระเจ้ามาเลี้ยงดูอย่างดี น้ำในลำธารชั่งน่าชื่นใจเสียจริงๆขณะที่ชาวอิสราเอลในเวลานั้นต้องเจอกับการกันดารที่หนักหนา
ขนมปังในเครีทเปรียบดัง“พระพร”ที่พระเจ้าประทานมาอย่างมากมายเพราะเรามีการเจิมและการทรงสถิตของพระเจ้าที่คอยเลี้ยงดู เหมือนเราเป็นหีบพันธสัญญาที่นำความมั่งคั่งมาให้ทุกที่ที่เราไป น้ำในลำธารเครีทเปรียบเสมือน “การเจิมของพระวิญญาณ”ที่สดใหม่ทุกเวลา เราขนลุก เราหัวเราะ เราร้องไห้และเทใจออกมาต่อพระเจ้าอย่างจริงใจ เราสัมผัสได้ถึงไฟที่ร้อนอยู่ภายในจนตัวเราแทบระเบิดให้ได้ เราได้รับนิมิตที่นี่ เป็นที่ที่ทรงพลัง มีคนมารับการเจิมจากเรา เราเผยพระวจนะ การเห็นการอัศจรรย์ เราอธิษฐานบ่อยมากเพราะเชื่อมต่อกับพระเจ้าที่นี่ได้ง่ายมากๆ และเราคิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร
แต่อย่าลืมและหลงประเด็น ทุกสิ่งทุกอย่างยังจะไม่จบลงที่นี่ เพราะการทรงสถิตที่รุนแรงเช่นนี้มีเพื่อวัตถุประสงค์แห่งเครีทของพระเจ้าจะสำเร็จในชีวิตของเรา (ทำลายชีวิตเก่า สารภาพบาปและตัดขาดจากบาป ทำลายเนื้อหนังที่กบฏต่อพระเจ้า หักล้างคำแช่งสาปในอดีตและในสายตระกูล การบำบัดภายใน การจัดการกับวิญญาณชั่วที่อยู่ในเราและมีอิทธิพลต่อเรา การยอมจำนนต่อพระวิญญาณของพระเจ้า การสร้างความคุ้นชินกับพระเจ้าและเสียงของพระองค์ การฝึกฝนเราในการเจิมของพระเจ้าเพื่อทำพระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำ และสุดท้ายคือการตายต่อตัวเองอย่างสิ้นเชิง) และการทรงสถิตของพระเจ้าแบบนี้จะอยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้นเพื่อพยุงเราไว้ เหมือนเด็กเพิ่งคลอดและพ่อแม่ใกล้ชิดไม่ห่าง เราจะต้องโตขึ้นและเดินด้วยตัวเองวันหนึ่งข้างหน้า เพราะลำธารเครีทแห่งนี้กำลังแห้งลงทุกทีๆ แย่แล้ว!! เราจะต้องออกแรงของตัวเองแล้ว!!
เราไม่มีวันรู้ว่าพระเจ้าทรงนำเราไปทางไหน? สร้างเราแบบไหน? เราอยู่จุดในบนเส้นทางของพระเจ้า? นานเท่าไร? 1ปี? 5ปี? เราเก่งแล้วหรือยัง? เราไม่มีวันรู้ได้เลย เพียงแต่เราตระหนักได้ว่า นี่คือกระบวนการของพระเจ้า (Divine Process) พระเจ้าจะนำเรามายังเครีท (แม้คุณจะต้องการหรือไม่) พระองค์จะดึงเราออกจากฝูงชน และนำเรามายังการชำระจนเราจะเป็นผู้ที่ใช้การได้และนำเราไปยังจุดหมาย
จงจำไว้ว่า “คนที่เข้าสู่เครีท เป็นผู้ที่กำลังเดินไปสู่จุดหมายของพระเจ้า” อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ โยเซฟ โมเสสเอลียาห์ ดาวิด ดาเนียล เปโตร เปาโล ยอห์น และแม้แต่พระเยซูเองล้วนเคยผ่านเครีทของพระเจ้าทั้งสิ้น และคุณก็เช่นกัน!!
(34:55)
เครื่องบูชาที่อยู่บนแท่นบูชาของเอลียาห์ ได้รับการตอบด้วยไฟเพราะเหตุแห่งคำอธิษฐานด้วยความถ่อมใจฉันใด จิตใจที่ถ่อมและแตกสลายของชาวยิวที่มีต่อพระเจ้าที่ได้อธิษฐานเชิญพระองค์มานั้น ก็จะได้รับการตอบด้วยการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์เจ้าฉันนั้น
พระเจ้าทรงเรียกเอลียาห์ออกมาจากแหล่งที่อยู่เดิมของเขาในช่วงเวลาที่อิสราเอลเต็มไปด้วยความเสื่อมถอยฝ่ายวิญญาณ เวลาที่เต็มไปด้วยความเลวร้ายมากมาย เวลาที่ไสยศาสตร์ครอบครองทั้งเมือง และแน่นอน การเจิมของเขาจะมาเพื่อช่วยให้จิตใจของชาวอิสราเอลกลับมายังพระทัยของพระบิดาอีกครั้ง ในยุคของเราก็เป็นเวลาที่มืดมนและต้องการการเจิมแบบเอลียาห์ที่จะเข้ามาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เหตุใดเราต้องรับรู้เกี่ยวกับชีวิตของชายคนนี้ ก็เป็นเพราะว่า การเจิมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะได้รับจากรพระเจ้านั้นคือการเจิมของเอลียาห์ (เราไม่นับฤทธิ์เดชของพระเยซูเพราะพระองค์เป็นที่สุดของจักรวาล เป็นพระเจ้าของเรา เอเมน !!) แม้แต่การเจิมที่มากกว่าเป็น 2 เท่าที่เอลีชาได้รับนั้นก็ยังเป็นการเจิมของเอลียาห์อยู่ดี
วันแห่งความมืดมิด
เมื่อเราเท้าความย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล ภายใต้การครอบครองของกษัตริย์ ซาอูล ดาวิดและโซโลมอน เป็นเวลา100ปี ที่อิสราเอลประสบกับสันติสุข ความเป็นหนึ่งเดียว และความมั่งคั่ง แต่เป็นเพราะเรโฮโบอัมทำผิดที่ไปเชื่อคำปรึกษาของสหายน้อยประสบการณ์และปฏิเสธคำปรึกษาของนักปราชญ์ ก่อให้เกิดความแตกแยกในอิสราเอล เป็น 2อาณาจักร อาณาจักรเหนือ คืออิสราเอล มีเมืองหลวงคือสะมาเรีย และอาณาจักรใต้คือ ยูดาห์ มีเมืองหลวงคือเยรูซาเล็ม โดยอิสราเอลที่กษัตริย์ 19 คน เป็นกษัตริย์ชั่วทั้งหมด อาณาจักรยูดาห์ มีกษัตริย์ 17 คน เป็นกษัตริย์ดี 8 พระองค์ และเป็นกษัตริย์ชั่วถึง 9 พระองค์ พระเจ้าทรงส่งผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ ไปยังอาณาจักรอิสราเอล เป็นอาณาจักรเหนือ เพราะนั่นเป็นเวลาที่ความมืดมิดได้ถึงจุดขีดสูดของความชั่ว เท่าที่อิสราเอลเคยมีมา
พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า กษัตริย์อาหับได้ปกครองและมีนางเยเซเบลเป็นมเหสี ซึ่งพ่อของนางเป็นกษัตริย์ของเมืองไซดอน และเป็นปุโรหิตของพระบาอัล เมืองไซดอนเป็นศูนย์กลางการนมัสการพระเทียมเท็จ ชื่อ “บาอัล” ทั้งๆที่มันเป็นวิญญาณชั่วตัวหนึ่ง แต่คนอิสราเอลเรียกมันว่า “พระ” เพราะเหตุแห่งความมืดบอดแห่งจิตวิญญาณ เยเซเบลมีพ่อเป็นหัวหน้าลัทธิ “บาอัล” ในสมัยนั้น และแน่นอน นางเองก็เป็นผู้นำลัทธิอันชั่วร้ายนี้ในอิสราเอลเช่นกัน ลัทธินี้สอนเกี่ยวกับการบูชาผีแห่งความวิปริตทางเพศ (Demon of Sexual Perversion) และสอนเกี่ยวกับ การบูชาวิญญาณแห่งความรุนแรง โดยการฆ่าเด็กบูชายัญแก่พระเทียมเท็จเหล่านี้
ทุกวันนี้หากเราดูในสังคมของเราสามารถเห็นการงานของพระเทียมเท็จและวิญญาณของเยเซเบลนี้ยังคงทำงานอยู่ในทุกชั่วอายุคน แม้ชื่อของพระจะเปลี่ยนไป แต่เอกลักษณ์และวิธีการชั่วร้ายของมันยังไม่เปลี่ยน มันปรารถนาการฆาตกรรม การทำแท้ง การกระทำผิดศีลธรรมทางเพศ (รักร่วมเพศ ร่วงประเวณี กับคน สัตว์ และแม้แต่รูปเคารพ) แค่คุณเปิดโทรทัศน์ดู ก็จะได้เห็นการงานของวิญญาณชั่วเหล่านี้มีอยู่ดาษดื่น... สิ่งที่เป็นเหตุให้วิญญาณเยเซเบลเข้ามาได้คือ “ความแตกแยก” (Division) เริ่มต้นจากเราแตกแยกกับพระเจ้า ชนชาติหนึ่งแตกจากชนชาติหนึ่ง สามีแยกทางกับภรรยา หรือแม้แต่คริสตจักรแตกแยกกันเอง ความแตกแยกทุกแบบที่ได้กล่าวมานี้เอง เป็นประตูให้กับวิญญาณเยเซเบลสามารถเข้ามาควบคุมและครอบครอง นี่เป็นเหตุที่เปาโลกล่าวถึงบาปที่ต้องห้ามนี้ในหนังสือกาลาเทียบทที่ 5
เมื่อความมืดมิดที่สุดมาถึงและสามารถจับต้องได้ นั่นเป็นเวลาที่คนทั้งหลายจะร้องหาแสงสว่าง เป็นเวลาที่การเจิมของพระเจ้าจะเทลงมานั่นคือการเจิมอย่างเอลียาห์ เวลาของเอลียาห์ไม่ใช่เวลาแห่งพระสิริของพระเจ้า หลายๆครั้งที่เราร้องเพลง “นี่เป็นเวลาของเอลียาห์” เราไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า เวลาของเอลียาห์นั้น คือเวลาแห่งไสยศาสตร์ เวลาแห่งความวิปริตทางเพศ เวลาแห่งความมืด เวลาแห่งความโลภ เวลาแห่งความเศร้าโศก เวลาแห่งการฆาตกรรม และความแตกแยก ดังนั้นเมื่อเราร้องเพลงนี้ เรากำลังพยากรณ์ว่า เวลานี้เป็นเวลาที่การเจิมของเอลียาห์กำลังจะเกิดขึ้น เพราะความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นกับอิสราเอลในเวลานั้นก็ไม่ได้ต่างไปกับเวลานี้ที่เรามีชีวิตอยู่เลย เราต้องการแสงสว่างแห่งพระวิญญาณของพระเจ้ากันสิ้นทุกคน การเจิมของพระเจ้าที่ประชากรของพระองค์ไม่เคยสัมผัสกำลังรอเวลาที่จะระเบิดออก
พระเจ้าทรงต้องการบุคคลผู้นั้นที่จะรับพระบัญชา รองรับพระทัย และรองรับฤทธานุภาพแห่งการเจิมของพระองค์ ในการหันใจพ่อกลับมาหาลูก และหันใจลูกกลับมาหาพ่อ ดั่งในอดีตที่พระองค์ทรงเจอคนที่ใช้การได้มาแล้วอย่างเอลียาห์นั่นเอง เขาผู้นี้จึงเป็นบรรพบุรุษแห่งความเชื่อที่สร้างทางเดินให้แก่เราแล้ว
การทรงเรียก
1 พงค์กษัตริย์ 17:1 ได้บอกแก่เราว่า ฝ่ายเอลียาห์เป็นชาวทิชบีและได้อาศัยอยู่ในกิเลอาด นี่เป็นบทแรกที่พูดเกี่ยวกับชีวิตของชายผู้นี้ ไม่มีใครู้จักชีวิตของเขา ที่อยู่ของเขา บ้าน หรือครอบครัวของเขา การที่พระคัมภีร์เริ่มต้นเรื่องของเอลียาห์อย่างทันทีทันใด ไม่มีจุดเริ่มต้นเกี่ยวกับชีวิตของเขานั้น ผมอยากจะให้ความเห็น ณ จุดนี้ว่า พระเจ้าต้องการให้เราทุกคนรู้ว่า พระองค์ไม่ได้ทรงเห็นแก่ผู้ใด พระเจ้ามิได้สนใจอดีตของเรา เราเป็นลูกใคร เรารวยหรือจน เราเกิดที่ใด บ้านนอกหรือเมืองหลวง อายุน้อยหรือแก่อาวุโส เรียนดีหรือไม่ หรืออื่นๆนั้น พระเจ้าทรงเห็นว่าไม่เป็นเรื่องที่สำคัญเลย ขอแค่เราเป็นคนที่พระองค์ใช้การได้ โดยการตอบสนองการทรงเรียกเท่านั้น ผมแอบคิดว่า แท้จริงแล้วพระเจ้าเรียกคนอื่นๆก่อนเอลียาห์ไหม? แต่มีเพียงเอลียาห์เท่านั้นใช่หรือไม่ที่ตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้า? ผมคิดว่า พระองค์ทรงเรียกหลายๆคนพร้อมๆกัน แต่พระองค์ก็ทรงรู้ก่อนแล้วว่าจะมีเพียงเอลียาห์เท่านั้น ชีวิตของเราก็เช่นกัน กี่ครั้งที่พระเจ้าเรียกท่านและท่านยินดีทำตามเสียงนั้น? เรายินดีที่จะเป็นตามที่พระองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับเราหรือไม่? ยินดีที่จะเดินบนหนทางที่ไม่สวยหรูหรือไม่? ผมคิดว่าพระเจ้ายังคงถามพวกเราเช่นนี้อยู่เสมอ
พระองค์ยังทรงแสวงหาคนเป็นอิสระต่อภาระผูกพันของโลกนี้เสมอ เช่น อิสระจากครอบครัว(บางคนพระเจ้าทรงเรียกให้เขาปราศจากครอบครัว ใครรับได้ก็รับเอาเถิด) อิสระจากพันธนาการแห่งอารมณ์(ผู้ที่ทำสิ่งใดก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์) อิสระจากประเพณีนิยม อิสระจากมลทินของโลกนี้ อิสระจากวัฒนธรรมที่ไร้ประโยชน์ พระเยซูจะต้องมาเป็นที่หนึ่ง พระองค์มิได้ทรงสนใจว่าเราเป็นลูกใคร หรือเก่งเพียงใด พระองค์ได้กล่าวไว้อย่างรุนแรงทีเดียวว่า ผู้ใดจับขันไถแล้วหันหลังกลับผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา พระองค์แสดงความต้องการของพระองค์ ทรงเรียกให้เราเป็นไทจากการติดพันอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลาย หากเราควบคุมหรือละทิ้งสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาไม่ได้ เรายังไม่ควรค่ากับการเจิมที่พระเจ้าจะประทานให้เพื่อปลดแอกให้แก่ประชากรของพระองค์ในยุคแห่งความเชื่อร้ายนี้ หากสิ่งใดที่ถ่วงท่านหรือหน่วงรั้งท่านจากพระเจ้าหรือจากหนทางของพระองค์ ขอให้ท่านแน่ใจว่า ท่านจะละทิ้งมันเพื่อจะได้พระเยซูคริสต์เป็นรางวัลแห่งชีวิต
ฝ่ายเอลียาห์ชาวทิชบีผู้ซึ่งตั้งอาศัยอยู่ในกิเลอาด ได้ทูลอาหับว่า "พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ซึ่งข้าพระบาทปฏิบัติทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด... จากประโยคนี้เอลียาห์ได้กล่าวและแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งปัจจุบัน พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า “เราเป็น” หรือ “ยาห์เวห์” นั่นเอง เอลียาห์ได้บอกจุดยืนของตนอย่างชัดเจนว่าท่านเองเป็นผู้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษซึ่งเหล่าอัครปิตา(อับราฮัม อิสอัคและยาโคบ)ได้ปรนนิบัติเช่นกัน ซึ่งนี้ก็ยังขยายความให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งเขามีต่อพระเจ้าอย่างมาก เขาเป็นตัวแทนของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว เขามิได้กล่าวถึง กลุ่มหรือคณะที่เขาอยู่ เขาตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าเขาเพียงสิ่งเดียว และพระเจ้าก็ทรงลิขิตชีวิตที่ทรงพลังให้แก่เขา
เอลียาห์เผยตัวเองออกมาในเวลาที่มืดมิดที่สุดของชนชาติอิสราเอล เขาถูกเรียกให้เผยตัวออกมาในเวลาที่ความมืด ความตาย การฆาตกรรม การบูชาพระเทียมเท็จ และไสยศาสตร์ลัทธิ“บาอัล” ครอบครองทุกหัวระแหงของอิสราเอล ศีลธรรมทั้งสิ้นหมดความหมายอย่างสิ้นเชิง จิตวิญญาณของชาวอิสราเอลในวันเวลาเหล่านั้นอับจนหนทางทั้งสิ้นเมื่อเขาเลือกสิ่งอื่นแทนพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้เขาทำบางสิ่งที่จะนำการเปลี่ยนแปลงมายังแผ่นดิน พระเจ้าทรงเรียกให้เขาเผยพระวจนะเหนือแผ่นดินอิสราเอล เขากล่าวว่า จะไม่มีน้ำค้างหรือฝนในปีเหล่านี้ นอกจากตามคำของข้าพระบาท" 1 พงศ์กษัตริย์ 17:1 เขาเริ่มต้นพยากรณ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วแผ่นดินของอิสราเอล สิ่งนี้เรียกว่า “การกันดารอาหาร” พระเจ้าเริ่มต้นที่จะตัดสิ่งที่จำเป็นแก่พวกเขาออกไปเพื่อให้เกิดการตื่นตัว และอยู่ในสภาวะที่ต้องดิ้นรนเพื่อตนเองอีกครั้ง บทเรียนฝ่ายวิญญาณจากสิ่งนี้สามารถสอนเราได้ตลอดหนทางการเดินกับพระเจ้า พระองค์ทรงรักเราและปรารถนาให้เราแสวงหาพระองค์และรักพระองค์ตอบเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อผลดีของเราเอง เมื่อเรารักพระเจ้าสิ้นสุดจิตสุดใจแล้ว แม้สถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นใดจะเกิดขึ้นกับเรานั้น พระองค์จะนำสิ่งร้ายมาก่อให้เป็นผลดีแก่คนที่รักพระองค์ คือผู้ที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์นั้น แต่ถ้าหากเราเป็นเพียงอุ่นๆ เหยียบเรือสองแคม พระองค์ผู้ทรงรักเรานั้นก็จะกระทำบางสิ่งให้เรากลับมาสู่การพึ่งพาพระองค์อีกครั้งหนึ่งให้จงได้ พระองค์ทำได้ทุกสิ่ง และจะทำมากขึ้นในยุคของเรา ยุคที่ทุกคนมีความรักที่เยือกเย็น ยุคที่ความหลงผิดครอบงำจิตใจคนมากมาย และนี่เป็นเหตุที่พระองค์ทรงรอคอยเราเสมอ รอให้คนเขามาสู่ความรักในพระคริสต์ผู้พร้อมที่จะลบลืมบาปมากมายทั้งสิ้นของเรา
สิ่งเดียวกันในวันของเอลียาห์และวันของเรา
การกันดารอาหารก็เป็นเหตุร้ายหนึ่งที่จะเป็นโอกาสให้คนอิสราเอลได้คิดไตร่ตรองชีวิตที่นอกใจพระเจ้า เราถือว่าการมีพระอื่นนอกจากพระเจ้าเที่ยงแท้ หรือพระเจ้าแห่งอิสราเอลนั้น เป็นการร่วงประเวณีฝ่ายวิญญาณ บ่อยครั้งที่พันธะสัญญาเดิมขยายความการกระทำเช่นนี้ว่า เป็นสิ่งที่ลามก และน่าสะอิดสะเอียนต่อพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าต้องการเจ้าสาวของพระองค์คืนมาจากเงื้อมมือของขโมยผู้ฉวยโอกาส การกันดารอาหารเป็นจุดเริมต้นของการเปลี่ยนแปลงฝ่ายวิญญาณนั่นเอง หากเราได้ดูในหนังสือปฐมกาลแล้ว เราจะรู้ว่า การกันดารอาหารในแต่ละครั้งนั้นส่งผลให้คนของพระเจ้าต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง ดูตัวอย่างชีวิตของ อับราฮัม อิสอัค และ ยาโคบ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากให้เราได้ศึกษา เมื่อพระเจ้าทรงปิดประตูหนึ่ง พระองค์จะทรงนำเราด้วยการเปิดอีกประตูหนึ่ง สิ่งที่เราเลือกได้ก็คือ เดินผ่านประตูที่พระเจ้าทรงเปิดนั้น หรือ อยู่ที่เดิม ไม่ไปไหนทั้งสิ้น คนที่มีสายตาฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้าจะเลือกเดินตามที่พระเจ้าทรงนำนั้น เพราะเหตุการณ์กันดารทำให้ยาโคบต้องหนีไปอียิปต์ โดยโยเซฟมีอำนาจและครอบครองอยู่ที่นั่น คนฝ่ายวิญญาณจะรู้จักสังเกตกาลเวลาและหมายสำคัญ เข้าใจพระทัยพระเจ้า และสามารถเลือกตามที่พระเจ้าต้องการได้
ภัยแล้งกำลังส่งเสียงกระซิบที่ดังก้องในวิญญาณจิตของคนยิวทั้งสิ้นว่า “กลับใจเสียใหม่ ๆ” และยังบอกแก่โลกในทุกวันนี้เช่นเดียวกัน เหตุที่เรื่องราวของเอลียาห์สำคัญมากสำหรับเราทุกคนที่อยู่ในยุคสุดท้ายนี้ เป็นเพราะ สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นภาพสะท้อนให้เราเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในนาทีนี้ เราทุกคนเหมือนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในวันเวลาของเอลียาห์นั่นเอง วิกฤติกาลทางเศรษฐกิจก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่งเช่นกันที่กระตุ้นให้คนทั้งโลกนี้กลับมาหาพระเจ้า ผมเชื่อว่าพระเจ้าพระเจ้าทรงยอมเลือกที่จะเขย่าสิ่งต่างๆรอบข้างเราเพื่อให้เราตื่นจากความเฉื่อยชาและตื่นจากการหลับไหลฝ่ายวิญญาณ แทนที่จะเอาชีวิตเราไปโดยไม่ได้ให้โอกาสเราในการแก้ตัว พระเจ้าประทานพระคุณเสมอแม้ในขณะที่เราเองเป็นคนบาปอยู่ พระคริสต์ทรงตายเพื่อเรา และพระเจ้าทรงหวังว่าเราจะตอบสนองความรักและพระคุณของพระองค์โดยเลือกที่จะเชื่อในพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เช่นกัน แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นพระเจ้าก็จะทรงเลือกที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้เรารู้สึกว่าเราต้องพึ่งพาพระองค์แทนการเชื่อในตัวเองได้แล้ว
ภัยธรรมชาติ ไม่ได้เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เป็นหมายสำคัญแห่งการเวลา เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วโดยพระปัญญาของพระเจ้า เป็นวาระแห่งการเขย่าในยุคสุดท้าย ยุคที่จิตใจของคนแข็งกระด้างและยุคที่ความรักเยือกเย็นลง ทำไมผมจึงพูดอย่างนี้ เพราะพระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า
สดุดี 93:1
พระเจ้าทรงครอบครอง พระองค์ทรงสวมความยิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงสวมฉลองพระองค์พระองค์ ทรงเอาพระกำลังคาดพระองค์ โลกได้สถาปนาไว้แล้ว มันจะไม่หวั่นไหว
ความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างนั้นมีมากเหลือล้น พระองค์สร้างทรงสิ่งในโลกให้เขาดูแลและครอบครอง เมื่อพระเจ้าทรงวางรากฐานของโลกนี้เอาไว้อย่างมั่นคงในครั้งแรกเริ่มนั้น พระเจ้าทรงมอบสิทธิอำนาจที่เพื่อครอบครอง แต่เมื่อมนุษย์หยิ่งทะนงและกบฏต่อพระเจ้า มนุษย์ขายสิทธิอำนาจให้แก่ซาตานที่จะครอบครองโลก พวกเขาพยายามที่จะเป็นผู้ปกครองที่ไม่ได้อยู่ภายใต้พระเจ้าอีกต่อไป ลืมการปกครองด้วยความดีงามของพระเจ้า พระองค์จึงต้องเขย่าโลกนี้เพื่อจะเรียกมนุษย์กลับมาหาพระองค์ เมื่อในฝ่ายกายภาพแผ่นดินไหวนั้น พระเจ้าก็ได้ทรงเขย่าท้องฟ้าสวรรค์ที่เป็นที่อยู่ของซาตานในฝ่ายวิญญาณเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้อาณาเขตในระดับพื้นผิวโลกต้องรับผลกระทบจากฝ่ายวิญญาณเช่นกัน
เมื่อความหยิ่งทะนงของมนุษย์มากยิ่งขึ้น แม้แต่พระเจ้าที่รักเรานั้นก็ช่วยเราไม่ได้และเลือกที่จะไม่ช่วยเรา เพียงชั่วขณะหนึ่ง จนกว่าเราจะถ่อมตัวลงมากพอที่จะไม่อ้าปากพ่นคำโอ้อวดคำโตออกมา แต่อ้าปากและยอมรับว่าตนเองเป็นฝ่ายละทิ้งหนทางแห่งความชอบธรรมของพระเจ้าก่อน หรือจนกว่าเขานั้นจะร้องเรียกพระเจ้าก่อน ดังตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้พยากรณ์เอาไว้เกี่ยวกับชนชาติของพระองค์เอง(ยิว)ว่าพระองค์จะไม่เสด็จกลับมาจนกว่าชนชาติที่ใจมืดบอดและแข็งกระด้างนี้จะร้องว่า ขอให้ผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงทรงพระเจริญ!! เราสามารถจินตนาการได้ว่าพระเจ้าอนุญาตให้ศัตรูของเขาในเวลานั้น (ปฏิปักษ์พระคริสต์) บีบกดและข่มเหงจนเขาทั้งหลายจนมุม ไร้ทางออก สิ้นซึ่งปัญญาและความทะนงตัว คร่ำครวญด้วยน้ำตาไหลและใจที่หมดหวังทุกอย่าง และจากนั้นจึงจะเป็นฉากจบของหนังชีวิตที่แสนจะยาวนานของมนุษย์ชาติ การเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล นั้นเอง
ในวันที่มืดมิดดังกล่าวนั้น พระเจ้าเองมิได้มีคำสั่งแรกให้เอลียาห์ให้ส่งการฟื้นฟูมา หรือส่งการเคลื่อนไหวใหญ่ของพระวิญญาณมา หรือการอวยพรด้วยสิ่งที่อัศจรรย์ พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้ใจที่แข็งกระด้างถูกคว่ำลงเสียก่อน โดยการใช้วิกฤตการณ์ทางด้านภูมิอากาศเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พระเจ้าทรงรู้จักสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาเองเป็นอย่างดีทีเดียว ถ้าเพียงแต่พระองค์จะถอดลมหายใจของมนุษย์ออกไป เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็จบลงแล้ว แต่นี้เป็นวิถีที่ต่ำเกินกว่าพระเจ้าจะทรงคิดได้ เพราะหนทางของพระเจ้าไม่เหมือนหนทางของเรา ความคิดของพระองค์ก็ไม่เหมือนของเราเช่นกัน ทรงรอบคอบและกอปรด้วยพระกรุณา แค่เพียง “ความแห้งแล้ง” เท่านั้นที่พระเจ้าให้ แทนการที่มนุษย์เลือกที่เชื่อในพระและเทพที่แห้งแล้งเปล่าประโยชน์ แทนการเชื่อในความมั่งคั่งและร่ำรวยของตนแบบที่ปราศจากพระเจ้า
เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น คนที่อยู่ฝ่ายวิญญาณจะเริ่มสะกิดใจและถามพระเจ้าว่าเป็นเพราะสิ่งใด ตัวอย่างที่ชัดเจนอย่างกษัตริย์ดาวิดสอนเรา เมื่อชนชาติอิสราเอลประสบกับการกันดารอาหารอย่างใหญ่โตภายใต้การปกครองของท่าน ท่านเห็นสิ่งนี้เป็นเรื่องผิดปกติ จึงจำเป็นที่จะต้องถามพระเจ้า และพระองค์ทรงตอบท่านว่า ซาอูลได้ฆ่าชาวกิเบโอนซึ่งในอดีตเคยทำพันธสัญญากับโยชูวานั้น จึงเป็นเหตุให้เกิดภัยแล้งในอิสราเอล ดาวิดจึงไปหาชาวกิเบโอนและถามว่าควรจะรับผิดชอบกับสิ่งนี้อย่างไร ชาวกิเบโอนจึงบอกว่าให้เอาลูกชายของกษัตริย์ซาอูล7คนมาแขวนคอโทษฐานที่หักพันธสัญญา เมื่อได้ลงโทษตามนั้นแล้วการกันดารอาหารในอิสราเอลหยุดลงทันที เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้จากตัวมนุษย์เอง บ่อยครั้งที่เราโทษพระเจ้าทั้งๆที่เป็นความผิดของเราเอง อย่าลืม!! พระเจ้าทรงยุติธรรมและไม่เคยทำผิดพลาด อีกสิ่งหนึ่งที่สอนเราจากเรื่องนี้ก็คือ การหักพันธสัญญาหรือการผิดสัญญา เป็นเหตุให้เกิดปัญหาต่างๆ หรืออาจรุนแรงขนาดคำสาปแช่งมาเกาะกินตัวเราเองได้ ดังเช่นการกันดารอาหารที่เกิดขึ้น นั่นเอง
เมื่อเกิดภัยพิบัติเช่นนี้แล้ว เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเอลียาห์ให้ทำสิ่งนี้สำเร็จแล้ว พระองค์จะทรงนำเราไปในทางใดต่อไป มีพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงตอบได้ เป็นการตอบโดยพาเราไปยังที่หนึ่งซึ่งเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว
เครีท: สถานที่แห่งการเตรียมชีวิต
พระเจ้าให้เอลียาห์นำหมายสำคัญแห่งการกันดารมายังแผ่นดิน เพื่อจะนำการเปลี่ยนแปลงมายังใจชาวอิสราเอล และพระเจ้าเองก็นำการเปลี่ยนแปลงมายังใจของตัวเขาเองด้วย โดยทรงนำเขาไปยังลำธารเครีทเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง สิ่งนี้คืออะไร มีผลต่อชีวิตเอลียาห์อย่างไร? และมีความหมายอะไรต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่ออย่างไรบ้าง?
1 พงศกษัตริย์ 17:2-3 เขียนไว้ว่า แล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังท่านว่า "จงออกไปจากที่นี่และหันไปทางตะวันออก และซ่อนตัวอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
เมื่อเขาได้รับการเจิมแห่งการประกาศพระบัญชาของพระเจ้า (Declaration) พระเจ้าทรงเรียกเขาไปยังกระบวนการในการสร้างต่อไป คือการแยกตัวออกเป็นส่วนบริสุทธิ์ (Isolation) โดยให้เขาสนใจกับสิ่งใหม่ที่พระเจ้าตรัสต่อไปแทนที่การชื่นชมกับความสำเร็จในอดีต และกระบวนการของพระเจ้าก็ชัดเจนอย่างยิ่งที่จะมุ่งสร้างเราให้เหมือนพระองค์ เขาเป็นแบบอย่างที่ดีในเวลานี้ในการเชื่อฟังเสียงตรัสของพระเจ้า เพราะเมื่อเขาเชื่อฟัง เขาไม่หยุดอยู่กับที่ ประตูแห่งความสำเร็จในอดีตถูกปิดลง และประตูบานใหม่เปิดออก
บ่อยครั้งที่ผมเห็นว่า ความสำเร็จในอดีตกลับเป็นตัวหน่วงรั้งความสำเร็จในภายหน้าอย่างร้ายกาจทีเดียว เมื่อเรามองอดีตด้วยใจเย้อหยิ่ง เราไม่ต่างไปกับซาตานที่คิดว่าตนมีวันนี้เพราะตนเองสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง และพระเจ้าไม่ร่วมงานกับเขาอีกต่อไป บทสรุปของความเย้อหยิ่งคือสิ่งที่ว่างเปล่า นี่คือเหตุที่พระเจ้าบอกว่า เราใช้คนโง่เขลาเพื่อให้คนฉลาดได้อับอาย ขอบคุณพระเจ้าที่เอลียาห์ไม่ถูกฉุดรั้งโดยอดีต แล้วตัวของคุณล่ะ?
1 พงศ์กษัตริย์ 17:4-6 ว่า เจ้าจะดื่มน้ำจากลำธาร และเราได้บัญชาให้กาเลี้ยงเจ้าที่นั่น" ท่านจึงไปและกระทำตามพระวจนะของพระเจ้า ท่านไปอาศัยอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน และกาก็นำขนมปังและเนื้อมาให้ท่านในเวลาเช้า และนำขนมปังและเนื้อมาในเวลาเย็นและท่านก็ดื่ม น้ำจากลำธาร
เครีทเป็นที่ๆหนึ่งในอิสราเอล ใกล้เมืองเยรีโค ถ้าหากเรายืนมองจากพื้นดินไปอย่างหน้าผา จะเห็นภูเขาเหมือนถูกตัดหรือถูกเรื่อยออกไป เป็นทัศนียภาพที่สวยงามที่หนึ่งในอิสราเอล ที่น่าสนใจคือ เครีท (Cherith) มีความหมายว่า ตัดออก ทำลาย เผาผลาญ หมายถึงเราจะได้รับการทรงนำไปยังที่หนึ่งที่เราเองได้รับการตัดแต่งหรือจะต้องตัดขาดจากบางสิ่งที่เป็นนิสัยเก่าความเชื่อแบบเก่าๆ ความคิดที่ไม่เหมือนของพระเจ้า ชีวิตที่อยู่ในบาป ความรักและหลงใหลในโลกนี้ ตัดขาดการงานของเนื้อหนังทั้งสิ้น ตามพระวจนะของพระเจ้าที่มุ่งจะชำระเราเสียใหม่ด้วยความจริง พระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง
ประสบการณ์ของผมในเครีทที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้นั้น เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและหนักหนาเอาการเลยทีเดียว ผมต้องทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงแรกของประสบการณ์แห่งเพ็นเทคอสในชีวิตของผม (รับบัพติสมาด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า) พระเจ้าประทานพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณที่ดีที่สุดซึ่งนั้นก็คือพระวิญญาณของพระเจ้า ส่วนผู้ที่เคยอาบน้ำร้อนมากก่อนอย่างพ่อแม่ของผมก็คอยเป็นกำลังใจและนำสิ่งดีๆมาอย่างชีวิตของผม เครีทเป็นที่ที่น่าชื่นใจ เพราะแม้โลกนี้จะวุ่นวายสักเพียงใด พระเจ้าทรงเลี้ยงดูไม่ขาด ผมสัมผัสการเจิมได้ตลอดเวลาเหมือนน้ำในลำธารเครีทที่เลี้ยงดูอย่างดี พระเจ้าประทานสิ่งต่างๆอย่างง่ายดาย เพียงแค่คิดเท่านั้นทุกสิ่งก็จะบันดาลมาอยู่ตรงหน้า นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้นกับผมในเวลานั้น และเอลียาห์ก็เช่นกันที่มีอีกาของพระเจ้ามาเลี้ยงดูอย่างดี น้ำในลำธารชั่งน่าชื่นใจเสียจริงๆขณะที่ชาวอิสราเอลในเวลานั้นต้องเจอกับการกันดารที่หนักหนา
ขนมปังในเครีทเปรียบดัง“พระพร”ที่พระเจ้าประทานมาอย่างมากมายเพราะเรามีการเจิมและการทรงสถิตของพระเจ้าที่คอยเลี้ยงดู เหมือนเราเป็นหีบพันธสัญญาที่นำความมั่งคั่งมาให้ทุกที่ที่เราไป น้ำในลำธารเครีทเปรียบเสมือน “การเจิมของพระวิญญาณ”ที่สดใหม่ทุกเวลา เราขนลุก เราหัวเราะ เราร้องไห้และเทใจออกมาต่อพระเจ้าอย่างจริงใจ เราสัมผัสได้ถึงไฟที่ร้อนอยู่ภายในจนตัวเราแทบระเบิดให้ได้ เราได้รับนิมิตที่นี่ เป็นที่ที่ทรงพลัง มีคนมารับการเจิมจากเรา เราเผยพระวจนะ การเห็นการอัศจรรย์ เราอธิษฐานบ่อยมากเพราะเชื่อมต่อกับพระเจ้าที่นี่ได้ง่ายมากๆ และเราคิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร
แต่อย่าลืมและหลงประเด็น ทุกสิ่งทุกอย่างยังจะไม่จบลงที่นี่ เพราะการทรงสถิตที่รุนแรงเช่นนี้มีเพื่อวัตถุประสงค์แห่งเครีทของพระเจ้าจะสำเร็จในชีวิตของเรา (ทำลายชีวิตเก่า สารภาพบาปและตัดขาดจากบาป ทำลายเนื้อหนังที่กบฏต่อพระเจ้า หักล้างคำแช่งสาปในอดีตและในสายตระกูล การบำบัดภายใน การจัดการกับวิญญาณชั่วที่อยู่ในเราและมีอิทธิพลต่อเรา การยอมจำนนต่อพระวิญญาณของพระเจ้า การสร้างความคุ้นชินกับพระเจ้าและเสียงของพระองค์ การฝึกฝนเราในการเจิมของพระเจ้าเพื่อทำพระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำ และสุดท้ายคือการตายต่อตัวเองอย่างสิ้นเชิง) และการทรงสถิตของพระเจ้าแบบนี้จะอยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้นเพื่อพยุงเราไว้ เหมือนเด็กเพิ่งคลอดและพ่อแม่ใกล้ชิดไม่ห่าง เราจะต้องโตขึ้นและเดินด้วยตัวเองวันหนึ่งข้างหน้า เพราะลำธารเครีทแห่งนี้กำลังแห้งลงทุกทีๆ แย่แล้ว!! เราจะต้องออกแรงของตัวเองแล้ว!!
เราไม่มีวันรู้ว่าพระเจ้าทรงนำเราไปทางไหน? สร้างเราแบบไหน? เราอยู่จุดในบนเส้นทางของพระเจ้า? นานเท่าไร? 1ปี? 5ปี? เราเก่งแล้วหรือยัง? เราไม่มีวันรู้ได้เลย เพียงแต่เราตระหนักได้ว่า นี่คือกระบวนการของพระเจ้า (Divine Process) พระเจ้าจะนำเรามายังเครีท (แม้คุณจะต้องการหรือไม่) พระองค์จะดึงเราออกจากฝูงชน และนำเรามายังการชำระจนเราจะเป็นผู้ที่ใช้การได้และนำเราไปยังจุดหมาย
จงจำไว้ว่า “คนที่เข้าสู่เครีท เป็นผู้ที่กำลังเดินไปสู่จุดหมายของพระเจ้า” อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ โยเซฟ โมเสสเอลียาห์ ดาวิด ดาเนียล เปโตร เปาโล ยอห์น และแม้แต่พระเยซูเองล้วนเคยผ่านเครีทของพระเจ้าทั้งสิ้น และคุณก็เช่นกัน!!
(34:55)
เครื่องบูชาที่อยู่บนแท่นบูชาของเอลียาห์ ได้รับการตอบด้วยไฟเพราะเหตุแห่งคำอธิษฐานด้วยความถ่อมใจฉันใด จิตใจที่ถ่อมและแตกสลายของชาวยิวที่มีต่อพระเจ้าที่ได้อธิษฐานเชิญพระองค์มานั้น ก็จะได้รับการตอบด้วยการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์เจ้าฉันนั้น
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554
ถ้อยคำแห่งความบริสุทธิ์...

มัทธิว 5:8:
ผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ก็เป็นสุข เขาจะได้เห็นพระเจ้า
1 โครินธ์ 4:4:
ความรู้สึกผิดชอบคงบอกข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าไม่มีความผิดเลย แต่ก็ไม่ได้หมายว่าข้าพเจ้าบริสุทธิ์ผุดผ่อง
องค์พระเป็นเจ้าเท่านั้นจะเป็นผู้ชันสูตรและตัดสินข้าพเจ้า ดังนั้น
1 โครินธ์ 5:7:
จงเอาเชื้อบาปนี้ออกไปเสียให้หมด เพื่อพวกท่านจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ
1 โครินธ์ 5:8:
ดังนั้น จงให้เรามาเลี้ยงฉลองกันเถอะ ไม่ใช่ด้วยขนมที่มีเชื้อบาปและการผิดศีลธรรม
แต่ด้วยขนมปังไม่ใส่เชื้อ อันได้แก่ความบริสุทธิ์และสัจจะ
2 โครินธ์ 7:1:
มิตรที่รัก! พระเจ้าทรงเป็นผู้ตรัสสัญญาไว้แก่เรา ฉะนั้น จงทำตัวให้บริสุทธิ์หมดจด
หลีกพ้นจากทุกสิ่งที่จะมาทำให้ร่างกายเรา หรือจิตของเราเป็นมลทินไป
ให้เราถวายตัวแก่พระเจ้าจนหมดสิ้น ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างเกรงกลัวพระเจ้า
ฟีลิปปี 2:15:
เพื่อว่าท่านจะเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยคนชั่ว ท่านเป็นบุตรที่ดีพร้อมของพระเจ้า
จงส่องแสงท่ามกลางเขาเหมือนดาวที่ส่องแสงอยู่ในท้องฟ้า
ฟีลิปปี 4:8:
พี่น้องของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอสรุปว่า ทุกสิ่งที่ดีงามสมควรแก่การสรรเสริญ
สิ่งใดที่เที่ยงแท้ สูงส่ง ถูกต้อง บริสุทธิ์ น่ารักและน่านับถือ จงมีอยู่ในใจท่าน
โคโลสี 1:22:
แต่บัดนี้พระเจ้าทรงกระทำให้ท่านเป็นมิตรทางความตาย ฝ่ายร่างกายของพระบุตรของพระองค์
เพื่อจะนำท่านมาเข้าเฝ้าพระองค์ ให้ท่านเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ และปราศจากที่ติ
1 เธสะโลนิกา 3:13:
เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์ทรงทำให้ท่านมีจิตใจมั่นคง ท่านจะได้เป็นบุคคลที่ดีพร้อม
และบริสุทธิ์เฉพาะพระเจ้าของเราและพระบิดา เมื่อพระเยซูเจ้าของเราเสด็จมากับบรรดาคนทั้งปวงที่เป็นของพระองค์
1 เธสะโลนิกา 4:3:
นี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับท่าน พระองค์ทรงประสงค์ให้ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ เว้นเสียจากการผิดประเวณี
1 เธสะโลนิกา 4:7:
พระเจ้าไม่ได้ทรงบอกเราให้ดำเนินชีวิตอย่างผิดศีลธรรม แต่ให้ดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์หมดจด
1 ทิโมธี 1:5:
ที่สั่งเช่นนี้ก็เพื่อให้เขารักอย่างบริสุทธิ์ใจ มีสามัญสำนึกที่แจ่มใสและศรัทธาอย่างจริงจัง
1 ทิโมธี 2:15:
สตรีจะรอดได้โดยเป็นมารดาถ้าเธอพากเพียรในความศรัทธา ความรักและความบริสุทธิ์ ด้วยความสงบเสงี่ยม
1 ทิโมธี 6:14:
ให้ท่านเชื่อฟังคำสั่งนี้และระวังรักษาตนไว้ให้บริสุทธิ์ปราศจากมลทิน จนกระทั่งถึงวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จมา
2 ทิโมธี 2:22:
จงหลีกเลี่ยงอารมณ์ร้อนแรงเยี่ยงคนหนุ่ม และทำตามความยุติธรรม ความศรัทธา ความรัก ความสันติสุข ทำตนให้เข้ากันได้กับผู้ที่ร้องทูลขอให้พระเจ้าทรงช่วยเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ทิตัส 2:14:
พระองค์ทรงพลีชีวิตเพื่อเรา ช่วยเราให้พ้นจากความชั่วช้าทั้งปวง และทำให้เราซึ่งเป็นของพระองค์แต่ผู้เดียว
เป็นคนบริสุทธิ์หมดจด เป็นผู้ที่กระตือรือร้นจะกระทำดี
ฮีบรู 12:10:
บิดาที่เป็นมนุษย์ลงโทษเราตามที่ท่านเห็นสมควรในขณะที่เรายังเด็กอยู่
แต่พระเจ้าทรงลงโทษเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อว่าเราจะได้บริสุทธิ์หมดจดพร้อมเหมือนพระองค์
ยากอบ 3:17:
แต่สติปัญญาที่มาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์ และที่รองลงมาก็คือสงบสุข สุภาพ อ่อนโยนและเป็นมิตร เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา ผลิตการกระทำดีขึ้นมาให้เราเก็บเกี่ยว ปราศจากใจอคติและหน้าไหว้หลังหลอก
1 เปโตร 1:16:
เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า "เจ้าต้องเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดเหมือนเราที่เป็นผู้บริสุทธิ์"
2 เปโตร 3:14:
เพื่อนเอ๋ย ขณะที่ท่านกำลังรอคอยวันนั้นอยู่ จงกระทำตนเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระเจ้า
และคอยท่าพระองค์ด้วยใจสงบ
วิวรณ์ 22:11:
คนชั่วก็ต้องทำความชั่วต่อไป คนที่เป็นมลทินก็ต้องเป็นมลทินต่อไป
คนดีก็ต้องทำความดีต่อไป คนที่บริสุทธิ์หมดจดก็จะบริสุทธิ์หมดจดต่อไป"
คำอธิษฐาน: พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงสร้างลูกให้สะอาด และ บริสุทธิ์ ให้ลูกเลือก และต่อสู้กับความเท็จแห่งยุคอันชั่วร้ายนี้
มีชัยเหนือกลอุบายที่มารร้า้ยวางไว้ ขอทรงตีสอนลูกด้วยพระหัตถ์แห่งความเมตตา เหมือนบิดาตีสอนลูกที่ตนชื่นชมนั้น...
ขอทรงมองที่พระคุณอันอุดมของพระองค์เอง ขอทรงหันเสียจากการชั่วทั้งสิ้นที่ลูกได้ทำ ขอทรงชื่นชมลูกด้วยเต็มพระทัย
โปรดสร้างลูกให้เหมือนพระองค์ "ลูกต้องบริสุทธิ์ เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์" ในนามพระเยซูเจ้า เอเมน...
วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554
สหายของพระเจ้า...

ผมได้รู้สึกและสัมผัสถึงภาระหรือความหนักหน่วงภายในใจ
เมื่ออธิษฐานอยู่ผมรู้ว่าพระเจ้าอยากจะให้วิงวอนเผื่อสังคมไทยที่กำลังเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง
ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงรักประเทศไทยแต่พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดเหมือนกัน
พระเจ้าทรงรักเราเพื่อเราจะเดินอยู่บนหนทางของพระองค์โดยมีความรักนำเราไป
แต่ถ้าลูกของพระองค์ไม่เดินตามทางที่พระองค์วางไว้ให้ พระเจ้าก็จะมีวิธีนำลูกๆกลับมา
อาจจะใช้วิธีเบาๆ ถ้าเราไม่ดื้อต่อพระเจ้า ก็จะเป็นเรื่องง่ายที่จะกลับมาอยู่บนหนทางนี้อีก
แต่จากสิ่งที่ผมเห็นและสัมผัสได้จากคนไทย(แม้คนที่เรียกตนว่าเป็นคริสเตียน) ยังไม่ได้แสวงหาพระเจ้า
ในยามที่เดือดร้อนที่สุดเช่นในเวลานี้นั้นผมเองก็ต้องดิ้นรนที่จะแสวงหาพระเจ้า และพวกเราทุกๆคนเช่นกัน
ในพระธรรมอิสยาห์ 45:15 กล่าวว่า แท้จริงพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงซ่อนพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าแห่งอิสราเอลพระผู้ช่วยให้รอด
พระเจ้าทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์เพื่อวัตถุประสงค์หลายอย่างที่เราไม่มีวันเข้าใจได้ทั้งหมด
แต่เรารู้ว่าพระองค์ทรงงซ่อนเพื่อเราจะแสวงหาพระองค์ในที่ลึกลับ (อาจจะเป็นห้องนอนหรือแม้แต่การสงบลงเพื่อคุยกับพระองค์ในใจ)
มีพื้นที่แห่งหนึ่งในฝ่ายวิญญาณที่พระองค์สร้างไว้เพื่อเราจะวิงวอนและสนทนากับพระองค์หน้าต่อหน้า อย่างผู้เผยพระวจนะโมเสส
พระเจ้าปรารถนาให้เราพบพระองค์ในห้องอภิสุทธิสถาน ห้องชั้นในสุด ความลับสูงสุด
เป็นที่ที่เราเท่านั้นที่"เห็น"และ"สัมผัส"พระทัยพระองค์ และพระองค์เท่านั้นที่"เห็น"และ"สัมผัส"จิตวิญญาณของเรา
พระเจ้าไม่ได้ต้องการฟังเสียงตะโกนของเราจากลานชั้นนอกที่ดังไปถึงห้องชั้นในสุด
ท่านไม่รู้หรือว่า พระเจ้าไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นนอกจาก "สหาย"
นี่จึงเป็เหตุที่เราต้องอธิษฐาน(พูดคุย)กับพระเจ้า
เติมใจเราด้วยพระทัยของพระองค์...
วิงวอนเพื่อลูกๆของพระองค์อีกมากมายในประเทศนี้จะมาพบรักกับพระองค์...
ก่อนที่อะไรๆจะสายเกินไป...
พระเจ้ายังต้องการเราเสมอ มีใช่แค่เพียงรอดแล้วก็ไปทำอะไรๆได้อีกมากมาย
เรื่องความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าในฐานะ"สหาย" ยังสำคัญเสมอทุกยุคสมัย
พระองค์ไม่เคยต้องการสิ่งอื่นแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เพียงแค่คำว่านี้เท่านั้น ที่พระองค์ต้องการจากเรา...
"สหาย" (เป็นเพื่อนกับพระองค์)
วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554
ความฝัน: ประเทศไทยแผ่นดินไหว

พระเจ้าได้ประทานความฝันในคืนหนึ่ง (น่าจะเป็นคืนวันอังคารที่ 8 มีนาคม 2554 นี้เอง)
แก่ผมเกี่ยวกับประเทศไทยว่ามีการแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงจนสามารถสัมผัสได้ทั่วประเทศ
ผมยืนอยู่ข้างถนนเส้นหนึ่ง จากนั้นมีการแผ่นดินไหวจน บ้านสองข้างทางไหลลงไปข้างทางและแผ่นดินก็แยกออก
แผนดินไหวติดต่อกันเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่ง ผมสัมผัสได้ว่าลมมีปะทะผมแรงมากจนปลิวถอยไปหลายก้าว
โดยลมที่พัดมาปะทะนั้นพัดมาจากตะวันตก มีคนยืนอยู่กลางถนนเต็มไปหมดและกลับไม่มีรถยนต์สักคันหนึ่งบนถนนเลย
และภาพสุดท้ายที่ผนเห็นในฝันก็คือ ภาพประเทศไทยที่มองลงมาจากท้องฟ้า
เห็นว่า แผนที่ได้เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัวจนไม่สามารถจำภาพเดิมได้เลย
พื้นที่ในประเทศไทยบางส่วนหายไป บางส่วนอยู่ใต้น้ำและบางส่วนแหว่งหายไป
ซึ่งความคิดเห้นส่วนตัวของผมนั้น คงเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเกิดคลื่นซึนามิ
ขอพี่น้องช่วยอธิษฐานเผื่อเรื่องนี้ด้วย เพราะหากไม่มีใครวิงวอนต่อพระเจ้า
เราอาจจะต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดคิดได้...
คำอธิษฐานของเรามีพลัง และเปลี่ยนทุกสิ่งได้... จากสิ่งเลวร้ายให้บรรเทาลงได้ หรือ ไม่เกิดขึ้นเลย...
พระเจ้าอวยพรครับ
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554
ระดับของการเผยพระวจนะ
เราทุกๆคนต่างผ่านขั้นตอนแห่งการเรียนรู้ในหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น การเล่นกีฬา การเรียนดนตรี การฝึกทำอาหาร หรือแม้แต่การใช้ชีวิต เป็นต้น สิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรจะเรียนรู้ในสิ่งต่างๆคือ การเรียนรู้พื้นฐาน และจากนั้นฝึกฝนในสิ่งขั้นพื้นฐาน จนเกิดความชำนาญ ผู้ที่ชำนาญการหลายๆสิ่งต่างผ่านระดับการเรียนรู้เบื้องต้นกันทั้งนั้น สั่งสมวันแล้ววันเล่าจนกลายเป็นความชำนาญ และ คุ้นเคย
การเผยพระวจนะก็เช่นกัน หากถ้าเราจะเรียนรู้การเผยพระวจนะ ต้องการคุ้นชินกับเสียงของพระเจ้า ต้องการบอกกล่าวถ้อยคำจากพระทัยพระเจ้า สู่ผู้คนอื่นๆ การต้องคุ้นเคยและสนิทสนมกับพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของแห่งของประทานนี้ พระเจ้าต้องการที่จะสอนเราถึงบทบาทแห่งความเป็นผู้ใหญ่ในการดำเนินกับพระองค์ ในเรื่องของ ความคิด ท่าทีภายใน การจัดการกับอารมณ์ การมีระเบียบวินัยฝ่ายวิญญาณในชีวิต ฯลฯ สิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับภายในของเรา ซึ่งหากจะเดินตามพระองค์ และเป็นสาวกแท้ของพระองค์แล้ว สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ต้องจัดการเป็นระดับต้นๆของการที่เราจะเป็นสาวกแท้ หรือแม้แต่การจะเดินบนเส้นทางแห่งการเผยพระวจนะเช่นกัน
ในเรื่องระดับของการเผยพระวจนะนั้น มีหลายๆปัจจัยที่ขับเคลื่อนฤทธานุภาพแห่งการเผยพระวจนะตามแต่ระดับต่างๆ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้น "ความรัก" ความรักคือรูปแบบหนึ่งของการทรงสถิตของพระเจ้า การสำแดงความรักออกมาเป็นการเผยพระวจนะนั้น คือการสำแดงพระเจ้าแก่โลกนี้นั้นเอง เพราะพระเจ้าทรงอ่อนโยน ทรงเสียใจกับการกระทำแห่งความบาปของมนุษย์ ยกโทษและอภัยเสมอ และรองรับความกดดันแห่งความบาปทั้งสิ้นไว้ ถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงเป็นแก่หน้าผู้ใดก็ตาม พระองค์ก็ยังคงเป็นความรักและไม่มีอะไรขัดแย้งในพระองค์เอง ไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดพระเจ้ามิให้ "รัก" เราได้
หากเราเข้ามาสู่การเผยพระวจนะด้วยการมุ่งเน้น(ให้ความสำคัญ)ที่มิติแห่ง "ความรัก" ของพระเจ้าแล้ว จะเป็นหนทางที่เราเองจะเติบโตในความรักของพระเจ้าอย่างเข้มแข็งและชีวิตเราจะมั่นคง และสามารถมีส่วนช่วยนำพาคนอีกมากมายเข้ามาสู่อ้อมกอดที่จริงใจของพระเจ้า "ความรักนั้นเข็มแข็งดั่งความตาย" โซโลมอนได้พูดไว้ "ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด" เปาโลพิสูจน์ไว้แล้ว "พระเจ้าทรงเป็นความรัก" อัครทูตยอห์นปักหลักนี้ให้แก่เราไว้แล้ว...
"กลุ่มสาวกแท้ฝึกฝนที่จะรักพระเจ้าและพี่น้อง และเติบโตขึ้นในของประทานแห่งการเผยพระวจนะ" (1โครินธ์ 14:1)
ท้องทะเลที่กว้างใหญไพศาลนั้นมีสิ่งต่างๆมากมายที่ดำรงชีวิตอยู่ในนั้นที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมาย ที่เราเองไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้สัมผัส ภายใต้พื้นน้ำยังคงมีสิ่งที่น่าค้นหาสิ่งใหม่ๆรอเราอยู่เสมอ ไร้ขอบเขต ไร้รูปทรงที่จะคาดคะเนได้ มิติแห่งความเชื่อก็เช่นกัน มีพระพรที่ยิ่งใหญ่อยู่ในนั้น แม้เราอาจจะมองไม่เห็นอะไรอีกมากมายที่อยู่ในนั้น แต่พระเจ้าก็ปรารถนาที่จะสำแดงแก่ลูกๆที่พระองค์ทรงรักอยู่เสมอทุกเชื่อวัน พระเจ้าได้ก่อร่างสร้างมนุษย์ของพระองค์ขึ้นมา ประทานวิญญาณจิตแห่งการพยากรณ์แก่เขา และเรียกเขาโดยชื่อของเขาและแน่นอนทรงเรียกเขาโดยสิ่งที่เขาเป็นด้วย ซึ่งบางคนเป็น"ผู้เผยพระวจนะ"
"ความเชื่อ" ถูกกล่าวว่า เป็นกุญแจสู่การเผยพระวจนะ ใน โรม 12:6 กล่าวว่า จงเผย(พระวจนะ)ตามความเชื่อ บ่อยครั้งที่พระเจ้ามักจะสร้างความเชื่อภายในเราด้วยเหตุการณ์ที่ยากจะเชื่อได้ เพื่อพระองค์จะทรงเค้นให้ความพรสวรรค์ที่สำคัญชิ้นนี้ที่ซ่อนอยู่ภายในเรา(ความเชื่อ)ถูกเขย่าออกมา และเราเองจะไม่เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในความจำกัดอีกต่อไป นี่คือเหตุที่พระเจ้าทรงพอใจในความเชื่อของเรา และยังทรงประทาน "ความเชื่อ" ที่เป็นของประทานในการทำการอัศจรรย์นี้แก่เราด้วย เพราะเมื่อเราใช้ชีวิตด้วยไม่มีความจำกัดในความเชื่อแล้ว เท่ากับเราไม่ได้จำกัดพระองค์ไว้เช่นกัน โลกจะเห็นสิ่งใหญ่ผ่านชีวิตท่านอย่างชัดเจน...
ผู้เผยพระวจนะ ทำให้สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน นั้น ปรากฏชัดขึ้นในพระกายพระคริสต์ และทั้งกายของพระองค์จะสว่างด้วยแสงแห่งความเชื่อ ในยามที่มึดมิด ความเชื่อเรียกเราให้แสวงหาพระองค์ เมื่อเราพบพระองค์แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เป็นม่านบังตาเราอีกต่อไปเพราะ "การเผยพระวจนะด้วยความเชื่อทำให้อนาคตที่มองไม่เห็นชัดเจนขึ้นทันตา และมั่นใจที่จะเดินต่อไปในทางแห่งพระคริสต์"
เราทุกคนหวังใจในพระเจ้าผู้เป็นนิรันดร์ เรามิำได้เห็นพระเจ้าแต่ก็ยังรักในพระองค์ สิ่งนี้ทูตสวรรค์นั้นปรารถนาได้ดูจากเราเมื่อเราหวังใจในพระวจนะที่ไม่มีวันสูญสะลาย แม้แต่พวกทูตสวรรค์เองก็กำเนิดมาจากการที่พระเจ้าทรงตรัส(เผยพระวจนะ) และทูตสวรรค์เองก็เป็นผู้กระทำตามพระวจนะของพระเจ้า และมีส่วนที่ทำให้คำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์นั้นสำเร็จเป็นอย่างดีอีกด้วย ในพระธรรมโรมบทที่ 8 ได้กล่าวว่า เมื่อเรายังไม่ได้รับสิ่งใด เราก็มีความหวังและรอคอยสิ่งนั้นให้บังเกิดขึ้น มิติแห่งความหวังนั้นจะถูกปลดปล่อยออกมาจากพระสัญญาแห่งพระวจนะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคำเผยพระวจนะ
ส่วนตัวของผมเอง ผมรักคำเผยพระวจนะในพันธะสัญญาเดิมมาก และเมื่อได้รับการเปิดเผยในขณะอ่านนั้น ผมสัมผัสได้ถึงความหวังใจที่พระวิญญาณของพระเจ้ายืนยันผ่านถ้อยคำเหล่านั้น เป็นสันติสุขที่ทำให้ผมมีกำลังและสามารถอดทนรอให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น จนบรรลุน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ผมเชื่อว่าผู้เชื่อหลายๆคนเคยได้รับคำเผยพระวจนะที่ดีๆเกี่ยวกับชีวิตของเราเอง อาจจะมีคนมาเผยกับเราหรือพระเจ้าอาจจะเป็นผู้ตรัสกับเราเอง แต่นอกเหนือจากคำเผยที่ดีๆที่เราได้รับนั้น เราต้องร่วมมือกับพระเจ้าจนกระทั้งบังเกิดในชีวิตจริงของเรา ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดาของเรา "ความหวังใจที่เรามีในพระเจ้าขับเคลื่อนเราให้กระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าจนสำเร็จตามคำเผยพระวจนะของพระองค์ได้"
ความเป็นผู้เผยพระวจนะแท้นั้นจะหักล้างความจำเจ ประเพณีนิยม นำใจคนมาสู่การสำนึกบาป และจะหักล้างทุกๆอย่างที่ขัดขวางเราให้ห่างออกจากพระเจ้า และสำแดงความรัก เสริมความเชื่อ ให้ความหวังใจ ผู้เผยพระวจนะแท้นั้นจะไม่นำคนมาเข้าเป็นพวกของตน แต่จะนำคนทั้งหลายให้วางชีวิตไว้ที่พระเจ้า Focus ที่พระเจ้า มุ่งมองที่พระองค์ ชมความงดงามของพระองค์ ผมเห็นคนที่มีวิญญาณผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จมากมายและได้รู้จักเขาด้วย คนเหล่านี้มีชีวิตที่น่าอนาถใจอย่างยิ่งเมื่อเขาอยากเป็นที่รู้จัีกอย่างแพร่หลายผ่านทางการยกย่องตนเอง ดึงคนเข้ามาหาตัวเอง ยุยงให้เกิดความแตกแยก และโลภเงินทอง หรือแม้แต่ชื่อเสียงที่เข้าเองมิได้เป็นคนก่อขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ คนเหล่านี้ตกหล่นไปจะพระคุณเสียแล้ว... ผมฝากท่านที่ได้อ่านทุกคน โปรดวิงวอนพระเจ้าเผื่อคนกลุ่มนี้ด้วย
การเผยพระวจนะในมิติแห่งความรัก ความเชื่อ และความหวังใจ มีความสำคัญอย่างมากในชีวิตของเราทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นผู้เผยพระวจนะของพระองค์ สิ่งนี้มิได้เกิดขึ้นจากการที่เราตั้งใจ แต่เกิดจากการที่พระเจ้าทรงตั้งใจ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณจะเป็นผู้นั้นที่รู้จักพระทัยพระเจ้าและใช้ชีวิตในหนทางของพระองค์ที่ทรงกำหนดไว้แก่เราแล้ว... เดินตามพระวิญญาณของพระองค์ แล้วพระองค์จะเรียกท่านว่าเป็นบุตรของพระองค์
"พันธกิจแห่งการเผยพระวจนะที่ดีนั้น คือ พันธกิจที่ประกาศความรักของพระคริสต์อยู่เสมอ และเสาะหาคนของพระเจ้าเพื่อที่จะช่วยให้เขาเติบโตในพระเจ้า"
การเผยพระวจนะก็เช่นกัน หากถ้าเราจะเรียนรู้การเผยพระวจนะ ต้องการคุ้นชินกับเสียงของพระเจ้า ต้องการบอกกล่าวถ้อยคำจากพระทัยพระเจ้า สู่ผู้คนอื่นๆ การต้องคุ้นเคยและสนิทสนมกับพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของแห่งของประทานนี้ พระเจ้าต้องการที่จะสอนเราถึงบทบาทแห่งความเป็นผู้ใหญ่ในการดำเนินกับพระองค์ ในเรื่องของ ความคิด ท่าทีภายใน การจัดการกับอารมณ์ การมีระเบียบวินัยฝ่ายวิญญาณในชีวิต ฯลฯ สิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับภายในของเรา ซึ่งหากจะเดินตามพระองค์ และเป็นสาวกแท้ของพระองค์แล้ว สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ต้องจัดการเป็นระดับต้นๆของการที่เราจะเป็นสาวกแท้ หรือแม้แต่การจะเดินบนเส้นทางแห่งการเผยพระวจนะเช่นกัน
ในเรื่องระดับของการเผยพระวจนะนั้น มีหลายๆปัจจัยที่ขับเคลื่อนฤทธานุภาพแห่งการเผยพระวจนะตามแต่ระดับต่างๆ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้น "ความรัก" ความรักคือรูปแบบหนึ่งของการทรงสถิตของพระเจ้า การสำแดงความรักออกมาเป็นการเผยพระวจนะนั้น คือการสำแดงพระเจ้าแก่โลกนี้นั้นเอง เพราะพระเจ้าทรงอ่อนโยน ทรงเสียใจกับการกระทำแห่งความบาปของมนุษย์ ยกโทษและอภัยเสมอ และรองรับความกดดันแห่งความบาปทั้งสิ้นไว้ ถึงแม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงเป็นแก่หน้าผู้ใดก็ตาม พระองค์ก็ยังคงเป็นความรักและไม่มีอะไรขัดแย้งในพระองค์เอง ไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดพระเจ้ามิให้ "รัก" เราได้
หากเราเข้ามาสู่การเผยพระวจนะด้วยการมุ่งเน้น(ให้ความสำคัญ)ที่มิติแห่ง "ความรัก" ของพระเจ้าแล้ว จะเป็นหนทางที่เราเองจะเติบโตในความรักของพระเจ้าอย่างเข้มแข็งและชีวิตเราจะมั่นคง และสามารถมีส่วนช่วยนำพาคนอีกมากมายเข้ามาสู่อ้อมกอดที่จริงใจของพระเจ้า "ความรักนั้นเข็มแข็งดั่งความตาย" โซโลมอนได้พูดไว้ "ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด" เปาโลพิสูจน์ไว้แล้ว "พระเจ้าทรงเป็นความรัก" อัครทูตยอห์นปักหลักนี้ให้แก่เราไว้แล้ว...
"กลุ่มสาวกแท้ฝึกฝนที่จะรักพระเจ้าและพี่น้อง และเติบโตขึ้นในของประทานแห่งการเผยพระวจนะ" (1โครินธ์ 14:1)
ท้องทะเลที่กว้างใหญไพศาลนั้นมีสิ่งต่างๆมากมายที่ดำรงชีวิตอยู่ในนั้นที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมาย ที่เราเองไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้สัมผัส ภายใต้พื้นน้ำยังคงมีสิ่งที่น่าค้นหาสิ่งใหม่ๆรอเราอยู่เสมอ ไร้ขอบเขต ไร้รูปทรงที่จะคาดคะเนได้ มิติแห่งความเชื่อก็เช่นกัน มีพระพรที่ยิ่งใหญ่อยู่ในนั้น แม้เราอาจจะมองไม่เห็นอะไรอีกมากมายที่อยู่ในนั้น แต่พระเจ้าก็ปรารถนาที่จะสำแดงแก่ลูกๆที่พระองค์ทรงรักอยู่เสมอทุกเชื่อวัน พระเจ้าได้ก่อร่างสร้างมนุษย์ของพระองค์ขึ้นมา ประทานวิญญาณจิตแห่งการพยากรณ์แก่เขา และเรียกเขาโดยชื่อของเขาและแน่นอนทรงเรียกเขาโดยสิ่งที่เขาเป็นด้วย ซึ่งบางคนเป็น"ผู้เผยพระวจนะ"
"ความเชื่อ" ถูกกล่าวว่า เป็นกุญแจสู่การเผยพระวจนะ ใน โรม 12:6 กล่าวว่า จงเผย(พระวจนะ)ตามความเชื่อ บ่อยครั้งที่พระเจ้ามักจะสร้างความเชื่อภายในเราด้วยเหตุการณ์ที่ยากจะเชื่อได้ เพื่อพระองค์จะทรงเค้นให้ความพรสวรรค์ที่สำคัญชิ้นนี้ที่ซ่อนอยู่ภายในเรา(ความเชื่อ)ถูกเขย่าออกมา และเราเองจะไม่เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในความจำกัดอีกต่อไป นี่คือเหตุที่พระเจ้าทรงพอใจในความเชื่อของเรา และยังทรงประทาน "ความเชื่อ" ที่เป็นของประทานในการทำการอัศจรรย์นี้แก่เราด้วย เพราะเมื่อเราใช้ชีวิตด้วยไม่มีความจำกัดในความเชื่อแล้ว เท่ากับเราไม่ได้จำกัดพระองค์ไว้เช่นกัน โลกจะเห็นสิ่งใหญ่ผ่านชีวิตท่านอย่างชัดเจน...
ผู้เผยพระวจนะ ทำให้สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน นั้น ปรากฏชัดขึ้นในพระกายพระคริสต์ และทั้งกายของพระองค์จะสว่างด้วยแสงแห่งความเชื่อ ในยามที่มึดมิด ความเชื่อเรียกเราให้แสวงหาพระองค์ เมื่อเราพบพระองค์แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เป็นม่านบังตาเราอีกต่อไปเพราะ "การเผยพระวจนะด้วยความเชื่อทำให้อนาคตที่มองไม่เห็นชัดเจนขึ้นทันตา และมั่นใจที่จะเดินต่อไปในทางแห่งพระคริสต์"
เราทุกคนหวังใจในพระเจ้าผู้เป็นนิรันดร์ เรามิำได้เห็นพระเจ้าแต่ก็ยังรักในพระองค์ สิ่งนี้ทูตสวรรค์นั้นปรารถนาได้ดูจากเราเมื่อเราหวังใจในพระวจนะที่ไม่มีวันสูญสะลาย แม้แต่พวกทูตสวรรค์เองก็กำเนิดมาจากการที่พระเจ้าทรงตรัส(เผยพระวจนะ) และทูตสวรรค์เองก็เป็นผู้กระทำตามพระวจนะของพระเจ้า และมีส่วนที่ทำให้คำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์นั้นสำเร็จเป็นอย่างดีอีกด้วย ในพระธรรมโรมบทที่ 8 ได้กล่าวว่า เมื่อเรายังไม่ได้รับสิ่งใด เราก็มีความหวังและรอคอยสิ่งนั้นให้บังเกิดขึ้น มิติแห่งความหวังนั้นจะถูกปลดปล่อยออกมาจากพระสัญญาแห่งพระวจนะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคำเผยพระวจนะ
ส่วนตัวของผมเอง ผมรักคำเผยพระวจนะในพันธะสัญญาเดิมมาก และเมื่อได้รับการเปิดเผยในขณะอ่านนั้น ผมสัมผัสได้ถึงความหวังใจที่พระวิญญาณของพระเจ้ายืนยันผ่านถ้อยคำเหล่านั้น เป็นสันติสุขที่ทำให้ผมมีกำลังและสามารถอดทนรอให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น จนบรรลุน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ผมเชื่อว่าผู้เชื่อหลายๆคนเคยได้รับคำเผยพระวจนะที่ดีๆเกี่ยวกับชีวิตของเราเอง อาจจะมีคนมาเผยกับเราหรือพระเจ้าอาจจะเป็นผู้ตรัสกับเราเอง แต่นอกเหนือจากคำเผยที่ดีๆที่เราได้รับนั้น เราต้องร่วมมือกับพระเจ้าจนกระทั้งบังเกิดในชีวิตจริงของเรา ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดาของเรา "ความหวังใจที่เรามีในพระเจ้าขับเคลื่อนเราให้กระทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าจนสำเร็จตามคำเผยพระวจนะของพระองค์ได้"
ความเป็นผู้เผยพระวจนะแท้นั้นจะหักล้างความจำเจ ประเพณีนิยม นำใจคนมาสู่การสำนึกบาป และจะหักล้างทุกๆอย่างที่ขัดขวางเราให้ห่างออกจากพระเจ้า และสำแดงความรัก เสริมความเชื่อ ให้ความหวังใจ ผู้เผยพระวจนะแท้นั้นจะไม่นำคนมาเข้าเป็นพวกของตน แต่จะนำคนทั้งหลายให้วางชีวิตไว้ที่พระเจ้า Focus ที่พระเจ้า มุ่งมองที่พระองค์ ชมความงดงามของพระองค์ ผมเห็นคนที่มีวิญญาณผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จมากมายและได้รู้จักเขาด้วย คนเหล่านี้มีชีวิตที่น่าอนาถใจอย่างยิ่งเมื่อเขาอยากเป็นที่รู้จัีกอย่างแพร่หลายผ่านทางการยกย่องตนเอง ดึงคนเข้ามาหาตัวเอง ยุยงให้เกิดความแตกแยก และโลภเงินทอง หรือแม้แต่ชื่อเสียงที่เข้าเองมิได้เป็นคนก่อขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ คนเหล่านี้ตกหล่นไปจะพระคุณเสียแล้ว... ผมฝากท่านที่ได้อ่านทุกคน โปรดวิงวอนพระเจ้าเผื่อคนกลุ่มนี้ด้วย
การเผยพระวจนะในมิติแห่งความรัก ความเชื่อ และความหวังใจ มีความสำคัญอย่างมากในชีวิตของเราทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นผู้เผยพระวจนะของพระองค์ สิ่งนี้มิได้เกิดขึ้นจากการที่เราตั้งใจ แต่เกิดจากการที่พระเจ้าทรงตั้งใจ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณจะเป็นผู้นั้นที่รู้จักพระทัยพระเจ้าและใช้ชีวิตในหนทางของพระองค์ที่ทรงกำหนดไว้แก่เราแล้ว... เดินตามพระวิญญาณของพระองค์ แล้วพระองค์จะเรียกท่านว่าเป็นบุตรของพระองค์
"พันธกิจแห่งการเผยพระวจนะที่ดีนั้น คือ พันธกิจที่ประกาศความรักของพระคริสต์อยู่เสมอ และเสาะหาคนของพระเจ้าเพื่อที่จะช่วยให้เขาเติบโตในพระเจ้า"
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Something
ผมสัมผัสถึงศึกที่กำลังประสบอยู่ในฤดูกาลนี้...
ผมรู้ว่าเวลานี้เป็นเวลาแห่งการวิงวอนต่อพระเจ้าในระยะประชิตพระทัยพระองค์
ผมได้ยินเสียงหลอกลวงของศัตรู และเสียงของพระเจ้าที่กำลังแย่งชิงกัน
ผมรู้ถึงความเป็นไปในระยะอันใกล้นี้...
เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งใหม่
หากคิดว่าตนคือผู้เข้มแข็งอาจต้องโซเซล้มพับกันไป...
บอกใจว่านิ่งต่อพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
ความรอดไม่มีในมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า
หากใครที่แสวงหาการช่วยกู้ของมนุษย์ จำต้องเจอบทเรียนแห่งความเจ็บปวด
รางวัลแห่งการเชื่อใจในและมุ่งหวังในมนุษย์ คือ น้ำตาแห่งความเหนื่อยล้าและหมดหวัง
เพราะพระเจ้าคือพระเจ้าที่หวงแหน...
การงานของวิญญาณแห่งการไหว้รูปเคารพกำลังเบนเข็มทิศมาที่เรา
มนุษย์บางคน อาจเป็น"รูปเคารพ" สำหรับบางคน คนที่เราเลือกจะวางใจและติดตามเขาไปทุกๆหนแห่ง... ระวัง !!
เพราะพระเจ้าคือพระเจ้าที่หวงแหน... He is Jealous for you and me...
พระเจ้าทรงรอคอย และทรงซ่อนพระพักตร์เพื่อเราจะต้องแสวงหาพระองค์ (อิสยาห์45:15)
"The Great Turmoil Is Invading and The Great Peace Is Waiting for Sons and Daughters to Rest In"
ความวุ่นวายครั้งใหญ่กำลังเข้าใกล้ และสันติสุขที่ยิ่งใหญ่กำลังรอบุตรชายบุตรหญิงทั้งหลายพักสงบ...
ดนตรีร็อคที่ว่าเร้าใจนั้นฟังดูจืดไปเลยในยามที่ใจต้องการนมัสการแบบเงียบๆ
การอธิษฐานที่ไม่เป็นคำเข้าใจง่ายอย่างน่าเหลือเชื่อ
เมื่อเจอเช่นนี้ต้องบอกว่า "ความรัก"ของพระเจ้าช่วยเปิดหนทางให้หน่อยจ้า... ฉันรู้ว่าเธอคือทางออก...
ผมรู้ว่าเวลานี้เป็นเวลาแห่งการวิงวอนต่อพระเจ้าในระยะประชิตพระทัยพระองค์
ผมได้ยินเสียงหลอกลวงของศัตรู และเสียงของพระเจ้าที่กำลังแย่งชิงกัน
ผมรู้ถึงความเป็นไปในระยะอันใกล้นี้...
เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งใหม่
หากคิดว่าตนคือผู้เข้มแข็งอาจต้องโซเซล้มพับกันไป...
บอกใจว่านิ่งต่อพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
ความรอดไม่มีในมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า
หากใครที่แสวงหาการช่วยกู้ของมนุษย์ จำต้องเจอบทเรียนแห่งความเจ็บปวด
รางวัลแห่งการเชื่อใจในและมุ่งหวังในมนุษย์ คือ น้ำตาแห่งความเหนื่อยล้าและหมดหวัง
เพราะพระเจ้าคือพระเจ้าที่หวงแหน...
การงานของวิญญาณแห่งการไหว้รูปเคารพกำลังเบนเข็มทิศมาที่เรา
มนุษย์บางคน อาจเป็น"รูปเคารพ" สำหรับบางคน คนที่เราเลือกจะวางใจและติดตามเขาไปทุกๆหนแห่ง... ระวัง !!
เพราะพระเจ้าคือพระเจ้าที่หวงแหน... He is Jealous for you and me...
พระเจ้าทรงรอคอย และทรงซ่อนพระพักตร์เพื่อเราจะต้องแสวงหาพระองค์ (อิสยาห์45:15)
"The Great Turmoil Is Invading and The Great Peace Is Waiting for Sons and Daughters to Rest In"
ความวุ่นวายครั้งใหญ่กำลังเข้าใกล้ และสันติสุขที่ยิ่งใหญ่กำลังรอบุตรชายบุตรหญิงทั้งหลายพักสงบ...
ดนตรีร็อคที่ว่าเร้าใจนั้นฟังดูจืดไปเลยในยามที่ใจต้องการนมัสการแบบเงียบๆ
การอธิษฐานที่ไม่เป็นคำเข้าใจง่ายอย่างน่าเหลือเชื่อ
เมื่อเจอเช่นนี้ต้องบอกว่า "ความรัก"ของพระเจ้าช่วยเปิดหนทางให้หน่อยจ้า... ฉันรู้ว่าเธอคือทางออก...
วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Seeing and Hearing, Part 5
This week we will study the prophetic gifts and how they work in us. When we do, many will realize that they have been working in them, but did not understand them. Even so, this is not a science but a relationship. We are listening to a Person, not just learning formulas and procedures.
In Amos 3:7 we are told, “Surely the Lord GOD does nothing unless He reveals His secret counsel to His servants the prophets.” There is nowhere in the Law that the Lord obligated Himself to do this, but He does it because He does not want to do anything without sharing it with His friends, which is the basic essence of prophetic ministry—friendship with God. The prophets are those who have become so close to God that He does not want to do anything without sharing it with them.
Many question whether one must be called as a prophet or if it can be pursued. Both are true. Some were called before they were born, and they cannot do anything else. The prophetic is also something that the Scriptures exhort us to seek, so He would not tell us this if He would not let us achieve it. Because the real essence of the prophetic is friendship with God, this is something He wants all of His people to pursue. This is why Moses said that he would that all of God’s people were prophets (see Numbers 11:29).
The prophets see what He is doing because they stay so close to His throne—they see and hear what is happening there. I have heard it often said that we should not seek the gifts, but the Giver. This sounds noble and wise, but it is contrary to the Scriptures, and it is the immature that follow such glib-sounding phrases that divert them from the truth of the Scriptures. We are exhorted in such places as I Corinthians 14:1 to: “Pursue love, yet desire earnestly spiritual gifts, but especially that you may prophesy.” Pursuing the gifts of the Spirit is a way that we pursue the Lord. The Father is seeking those who will worship Him in Spirit and in truth, and the gifts of the Spirit are a way that we do this.
Of course, we pursue the Giver first, but this does not exclude pursing the gifts of the Spirit. The gifts of the Spirit are not gifts in the sense that we think of gifts, like presents. A better translation could have been something like “tools of the Spirit.” The gifts of the Spirit are not given as a reward, or to just bless us, but are given so that we can do His work. This work of the Lord is worship; it is our service, done because we love Him.
A basic work of the prophet is to speak for God, to say what He wants said in a situation. This is an ultimate trust that He will not give to the immature or the frivolous. What king would want someone representing him who was prone to add his own opinions? Therefore, anyone can be used to prophesy, but it takes a level of maturity, integrity, and trust from the Lord to be commissioned as a prophet. It is a trap for us to think that we have God’s opinion about everything—that what we think is what He is thinking, and what we may feel about something is the way He is feeling about it. This will lead to prophesying from our own soul, at best.
This is what happened to the Apostle Peter right after he had received the greatest revelation—that Jesus was the Christ. Jesus commended Peter for hearing this straight from the Father and was told that it was upon that rock, the rock which is revelation that comes from the Father, that He would build His church. Then He blessed Peter with the keys of the kingdom. The very next words that came out of Peter’s mouth were straight from hell, and Jesus had to scold him by telling him to “Get behind me Satan!” (see Matthew 16:23)
So here we see how easy it is to hear straight from heaven and the next thing can come straight from Satan. This happened because of Peter’s immaturity, and it happens to virtually every prophetically-gifted person when they are immature. If this is too discouraging to you, and you are too afraid of making such a mistake, you will never make it as a prophet. If you learn from your mistakes, you will learn to discern between the voice of God and your own soul, or the devil, but if you are too afraid of making a mistake, you will never learn. Peter was prone to the biggest mistakes in the New Testament, but he was also used for some of the greatest works, which is why he was given the keys to the kingdom. Peter was not afraid to use them, and he did open the door of faith to both the Jews and Gentiles, not to mention walking on water, raising the dead, and having such power that just being touched by his shadow brought healing.
Many want a formula for knowing God’s voice so that they can avoid making mistakes, but the only formula I know is to mature in Christ. I would love to have the gift of being able to lay hands on people and have them mature instantly, but I have never seen that gift in Scripture. Maturity requires experience. It is also true that people often learn much faster from making mistakes, so if we want to mature fast, we need to embrace our mistakes as opportunities. This is not to imply that we should want to make mistakes, but we cannot be too afraid of them to step out in faith. If we are, we will never do anything, and we will never mature in the gifts.
I do not know of a single person I consider to have a prophetic gift of true New Testament stature who has not made major mistakes on their path to maturity. Once we are a commissioned prophet, we should not still be making these, but there is a difference between a calling and a commissioning to the ministry. Paul was called as an apostle many years before he received the commission at Antioch. You are not a prophet when you are called as a prophet, but only when you have been commissioned. We have to “make our calling and election sure” (see II Peter 1:10), or we must pursue maturity in our calling until God sees that it is time for our commissioning. If you are wondering whether or not you have been commissioned yet, then you have not. When the real thing comes, you will not have any doubts about it. Until then, enjoy the opportunity to try your wings, and stay humble enough to embrace your mistakes and learn from them.
Rick Joyner
In Amos 3:7 we are told, “Surely the Lord GOD does nothing unless He reveals His secret counsel to His servants the prophets.” There is nowhere in the Law that the Lord obligated Himself to do this, but He does it because He does not want to do anything without sharing it with His friends, which is the basic essence of prophetic ministry—friendship with God. The prophets are those who have become so close to God that He does not want to do anything without sharing it with them.
Many question whether one must be called as a prophet or if it can be pursued. Both are true. Some were called before they were born, and they cannot do anything else. The prophetic is also something that the Scriptures exhort us to seek, so He would not tell us this if He would not let us achieve it. Because the real essence of the prophetic is friendship with God, this is something He wants all of His people to pursue. This is why Moses said that he would that all of God’s people were prophets (see Numbers 11:29).
The prophets see what He is doing because they stay so close to His throne—they see and hear what is happening there. I have heard it often said that we should not seek the gifts, but the Giver. This sounds noble and wise, but it is contrary to the Scriptures, and it is the immature that follow such glib-sounding phrases that divert them from the truth of the Scriptures. We are exhorted in such places as I Corinthians 14:1 to: “Pursue love, yet desire earnestly spiritual gifts, but especially that you may prophesy.” Pursuing the gifts of the Spirit is a way that we pursue the Lord. The Father is seeking those who will worship Him in Spirit and in truth, and the gifts of the Spirit are a way that we do this.
Of course, we pursue the Giver first, but this does not exclude pursing the gifts of the Spirit. The gifts of the Spirit are not gifts in the sense that we think of gifts, like presents. A better translation could have been something like “tools of the Spirit.” The gifts of the Spirit are not given as a reward, or to just bless us, but are given so that we can do His work. This work of the Lord is worship; it is our service, done because we love Him.
A basic work of the prophet is to speak for God, to say what He wants said in a situation. This is an ultimate trust that He will not give to the immature or the frivolous. What king would want someone representing him who was prone to add his own opinions? Therefore, anyone can be used to prophesy, but it takes a level of maturity, integrity, and trust from the Lord to be commissioned as a prophet. It is a trap for us to think that we have God’s opinion about everything—that what we think is what He is thinking, and what we may feel about something is the way He is feeling about it. This will lead to prophesying from our own soul, at best.
This is what happened to the Apostle Peter right after he had received the greatest revelation—that Jesus was the Christ. Jesus commended Peter for hearing this straight from the Father and was told that it was upon that rock, the rock which is revelation that comes from the Father, that He would build His church. Then He blessed Peter with the keys of the kingdom. The very next words that came out of Peter’s mouth were straight from hell, and Jesus had to scold him by telling him to “Get behind me Satan!” (see Matthew 16:23)
So here we see how easy it is to hear straight from heaven and the next thing can come straight from Satan. This happened because of Peter’s immaturity, and it happens to virtually every prophetically-gifted person when they are immature. If this is too discouraging to you, and you are too afraid of making such a mistake, you will never make it as a prophet. If you learn from your mistakes, you will learn to discern between the voice of God and your own soul, or the devil, but if you are too afraid of making a mistake, you will never learn. Peter was prone to the biggest mistakes in the New Testament, but he was also used for some of the greatest works, which is why he was given the keys to the kingdom. Peter was not afraid to use them, and he did open the door of faith to both the Jews and Gentiles, not to mention walking on water, raising the dead, and having such power that just being touched by his shadow brought healing.
Many want a formula for knowing God’s voice so that they can avoid making mistakes, but the only formula I know is to mature in Christ. I would love to have the gift of being able to lay hands on people and have them mature instantly, but I have never seen that gift in Scripture. Maturity requires experience. It is also true that people often learn much faster from making mistakes, so if we want to mature fast, we need to embrace our mistakes as opportunities. This is not to imply that we should want to make mistakes, but we cannot be too afraid of them to step out in faith. If we are, we will never do anything, and we will never mature in the gifts.
I do not know of a single person I consider to have a prophetic gift of true New Testament stature who has not made major mistakes on their path to maturity. Once we are a commissioned prophet, we should not still be making these, but there is a difference between a calling and a commissioning to the ministry. Paul was called as an apostle many years before he received the commission at Antioch. You are not a prophet when you are called as a prophet, but only when you have been commissioned. We have to “make our calling and election sure” (see II Peter 1:10), or we must pursue maturity in our calling until God sees that it is time for our commissioning. If you are wondering whether or not you have been commissioned yet, then you have not. When the real thing comes, you will not have any doubts about it. Until then, enjoy the opportunity to try your wings, and stay humble enough to embrace your mistakes and learn from them.
Rick Joyner
Seeing and Hearing, Part 4
Although the Old Testament prophets' mandate of bringing correction to God’s people has become more of the mandate of the apostle in the New Testament, there is still a need for the prophetic preachers of righteousness and justice. John the Baptist, the greatest of all transitional ministries, was the greatest of all preachers of righteousness. We are told that John came in the anointing of Elijah, but unlike Elijah, he had very little prophetic revelation and really did not demonstrate any of the kind of power that Elijah walked in. Even so, his message prepared the way for the Lord. For this reason, he was called by the Lord the greatest man ever born of woman (see Matthew 11:11).
We are told in Malachi that before the end of this age, before the great and terrible day of the Lord, that Elijah the prophet will be sent again. Teachers and theologians have speculated about this probably since Malachi wrote it, but most New Testament scholars agree that this will come like it did upon John the Baptist with the anointing of Elijah. Most also see this coming in a corporate anointing upon many rather than upon one person because the Lord is now manifested through the many members of His body, the church.
This anointing is evidenced on a number throughout the church age, which has been used to prepare the way for the Lord. This ministry is one of building part of the highway that is spoken of in Isaiah 40, which we are told is how we are to prepare the way of the Lord. The highway of Isaiah 40 is God’s “higher way.” It is the path to the kingdom. The message of repentance is to turn people from the road to destruction to the highway that leads to the kingdom.
As Francis Frangipane points out, both Jesus and John preached repentance because the kingdom was at hand, not because judgment was at hand. We are told in Romans 2:4 that it is the “kindness of God that leads to repentance,” not threats of punishment as some suppose. This being so, we must also keep in mind that the great kindness of God is demonstrated at the cross more than anywhere else. His greatest kindness of all was paying the price that He did for our sins. So the greatest of all realizations of the kindness of God is the cross. This is why the message of the cross is so central to true apostolic preaching and has been so much the basis of the great messages and messengers of the entire church age.
The message of the cross was much more than the teaching of the atonement we have through the cross, but it was also the preaching of the life of the cross. The true Christian life is a life of sacrifice, which Jesus said we had to do daily by taking up our own crosses if we were to be His disciples (see Luke 9:23). This message of the cross is sown throughout the message of the great saints who have been the prophetic and apostolic messengers of the church age. You can also tell that this was much more than just their message—it was their life. They lived the message of the cross by dying daily to their own will and their own desires to live a life of sacrifice for the sake of the gospel.
Those who try to preach the cross, but do not live it are easily discerned by the lack of power in their words, and their message will die with them. Those who truly “die daily” for the sake of the gospel touch eternal life in such a way that their message cannot die either—and it lives long beyond their own physical lives. That message is their part of the highway that leads to the kingdom, and some in every generation have done their part to build it.
Many think that they have to reach a certain degree of holiness before God will anoint them with power, but the truth is that God has anointed some very unholy people with power, as Samson is just one example. People who have power ministries can fall into sin and the power will continue because God is faithful even if we become unfaithful, and we are told the gifts and callings of God are “without repentance” (see Romans 11:29 KJV). This means once He has given them to us, He will not take them back. For this reason, just because God still uses us to do miracles, does not mean that we are right with Him. As we are told in I Corinthians 13, we can do many miracles, and even have the faith to move mountains, but if we do not have love, it will all count for nothing.
We need more power, and we need more miracles, healings, and prophecy, but in our pursuit of them, we cannot forget that our ultimate calling is to grow in love for God and then love for one another. Just as the greatest demonstration of God’s love that there will ever be was the cross, those who live a true life of the cross, the life of sacrifice for the sake of the gospel and the people who need it, is the greatest of all demonstrations of true love. The more you love someone, the more you will gladly sacrifice for them. The more we love God, the more we will lay down our own lives for Him and those whom He laid down His life for.
We will study the prophetic gifts and ministries that have been given to the church, and we will seek more power. However, we will also keep in mind the saying that “power corrupts” can be true of spiritual power too if we are not living our lives on the solid foundation of abiding in the Lord, of loving Him and one another, which is demonstrated by our devotion to taking up our crosses daily. This alone will keep us on the path of life.
We are told in Malachi that before the end of this age, before the great and terrible day of the Lord, that Elijah the prophet will be sent again. Teachers and theologians have speculated about this probably since Malachi wrote it, but most New Testament scholars agree that this will come like it did upon John the Baptist with the anointing of Elijah. Most also see this coming in a corporate anointing upon many rather than upon one person because the Lord is now manifested through the many members of His body, the church.
This anointing is evidenced on a number throughout the church age, which has been used to prepare the way for the Lord. This ministry is one of building part of the highway that is spoken of in Isaiah 40, which we are told is how we are to prepare the way of the Lord. The highway of Isaiah 40 is God’s “higher way.” It is the path to the kingdom. The message of repentance is to turn people from the road to destruction to the highway that leads to the kingdom.
As Francis Frangipane points out, both Jesus and John preached repentance because the kingdom was at hand, not because judgment was at hand. We are told in Romans 2:4 that it is the “kindness of God that leads to repentance,” not threats of punishment as some suppose. This being so, we must also keep in mind that the great kindness of God is demonstrated at the cross more than anywhere else. His greatest kindness of all was paying the price that He did for our sins. So the greatest of all realizations of the kindness of God is the cross. This is why the message of the cross is so central to true apostolic preaching and has been so much the basis of the great messages and messengers of the entire church age.
The message of the cross was much more than the teaching of the atonement we have through the cross, but it was also the preaching of the life of the cross. The true Christian life is a life of sacrifice, which Jesus said we had to do daily by taking up our own crosses if we were to be His disciples (see Luke 9:23). This message of the cross is sown throughout the message of the great saints who have been the prophetic and apostolic messengers of the church age. You can also tell that this was much more than just their message—it was their life. They lived the message of the cross by dying daily to their own will and their own desires to live a life of sacrifice for the sake of the gospel.
Those who try to preach the cross, but do not live it are easily discerned by the lack of power in their words, and their message will die with them. Those who truly “die daily” for the sake of the gospel touch eternal life in such a way that their message cannot die either—and it lives long beyond their own physical lives. That message is their part of the highway that leads to the kingdom, and some in every generation have done their part to build it.
Many think that they have to reach a certain degree of holiness before God will anoint them with power, but the truth is that God has anointed some very unholy people with power, as Samson is just one example. People who have power ministries can fall into sin and the power will continue because God is faithful even if we become unfaithful, and we are told the gifts and callings of God are “without repentance” (see Romans 11:29 KJV). This means once He has given them to us, He will not take them back. For this reason, just because God still uses us to do miracles, does not mean that we are right with Him. As we are told in I Corinthians 13, we can do many miracles, and even have the faith to move mountains, but if we do not have love, it will all count for nothing.
We need more power, and we need more miracles, healings, and prophecy, but in our pursuit of them, we cannot forget that our ultimate calling is to grow in love for God and then love for one another. Just as the greatest demonstration of God’s love that there will ever be was the cross, those who live a true life of the cross, the life of sacrifice for the sake of the gospel and the people who need it, is the greatest of all demonstrations of true love. The more you love someone, the more you will gladly sacrifice for them. The more we love God, the more we will lay down our own lives for Him and those whom He laid down His life for.
We will study the prophetic gifts and ministries that have been given to the church, and we will seek more power. However, we will also keep in mind the saying that “power corrupts” can be true of spiritual power too if we are not living our lives on the solid foundation of abiding in the Lord, of loving Him and one another, which is demonstrated by our devotion to taking up our crosses daily. This alone will keep us on the path of life.
Seeing and Hearing, Part 3
Overall, the body of Christ is walking in about 15 percent of the prophetic vision that we are called to have under the New Covenant. As we are told in II Corinthians 3, we are supposed to be experiencing more of the glory of God than Moses did. We are also told in Hebrews 7:22 that we have been given “a better covenant.” The greatest of what was experienced under the Old Covenant should be the floor of what we experience in the New Covenant. However, we have not yet seen this, as we have not yet seen “the greater works” than what the Lord did as He promised in John 14. However, His Word is true and we can be sure that before the end of this age we will see these.
Because we experience more than previous generations does not mean that we are greater than they are. In fact, it could be that we are inferior, but the increased glory is revealed because of the increased darkness, just as we see in Isaiah 60:1-3:
“Arise, shine; for your light has come, and the glory of the LORD has risen upon you.
“For behold, darkness will cover the earth, and deep darkness the peoples; but the LORD will rise upon you, and His glory will appear upon you.
“And nations will come to your light, and kings to the brightness of your rising.”
The greater glory comes at the very time of the greater darkness, and it also comes because of it. We also see here that the glory will prevail, and the light will win over the darkness. For this reason, we will see such a rising of the power of the Lord upon His people because we are going to need it.
We all want to see miracles, but very few want to be put in a place where they have to have them. We are entering such a time. The greater prophetic revelation promised in Acts 2 “in the last days” is because we are going to need increased guidance in these times.
This year we will see prophetic authority and revelation double, but even then, we will have a long way to go before coming to the level of maturity we will need in this ministry for the times we are entering. Under the Old Covenant, there were prophets who knew everything enemy kings were saying even in their most secret places—virtually nothing could be hidden from the prophets. We are in need of such prophets today. Under the Old Covenant, they were shocked when any major event took place that they did not foresee. Today we are still shocked when we foresee a major event, but that will now change.
Regardless of how well we know the Lord’s voice now, we need to resolve to know it at least twice as well this coming year. We need to pursue hearing Him speak to us in many more ways and about many more things than we have been open to in the past. The times that we are entering are going to help us in this pursuit. As I Corinthians 14:1 exhorts:
Pursue love, yet desire earnestly spiritual gifts,
but especially that you may prophesy.
As we are told in I Thessalonians 5:5-11:
We are sons of light and sons of day. We are
not of night, nor of darkness;
so then let us not sleep as others do, but let
us be alert and sober.
For those who sleep do their sleeping at night, and
those who get drunk get drunk at night.
But since we are of the day, let us be sober, having
put on the breastplate of faith and love, and as a helmet, the hope of salvation.
For God has not destined us for wrath, but for obtaining salvation through our Lord Jesus Christ,
who died for us, that whether we are awake or asleep,
we may live together with Him.
Therefore encourage one another, and build up one
another, just as you also are doing.
Resolve that this year you are going to get closer to the Lord than ever before, and know His voice at least twice as good as ever before. We are going to need it.
Rick Joyner
Because we experience more than previous generations does not mean that we are greater than they are. In fact, it could be that we are inferior, but the increased glory is revealed because of the increased darkness, just as we see in Isaiah 60:1-3:
“Arise, shine; for your light has come, and the glory of the LORD has risen upon you.
“For behold, darkness will cover the earth, and deep darkness the peoples; but the LORD will rise upon you, and His glory will appear upon you.
“And nations will come to your light, and kings to the brightness of your rising.”
The greater glory comes at the very time of the greater darkness, and it also comes because of it. We also see here that the glory will prevail, and the light will win over the darkness. For this reason, we will see such a rising of the power of the Lord upon His people because we are going to need it.
We all want to see miracles, but very few want to be put in a place where they have to have them. We are entering such a time. The greater prophetic revelation promised in Acts 2 “in the last days” is because we are going to need increased guidance in these times.
This year we will see prophetic authority and revelation double, but even then, we will have a long way to go before coming to the level of maturity we will need in this ministry for the times we are entering. Under the Old Covenant, there were prophets who knew everything enemy kings were saying even in their most secret places—virtually nothing could be hidden from the prophets. We are in need of such prophets today. Under the Old Covenant, they were shocked when any major event took place that they did not foresee. Today we are still shocked when we foresee a major event, but that will now change.
Regardless of how well we know the Lord’s voice now, we need to resolve to know it at least twice as well this coming year. We need to pursue hearing Him speak to us in many more ways and about many more things than we have been open to in the past. The times that we are entering are going to help us in this pursuit. As I Corinthians 14:1 exhorts:
Pursue love, yet desire earnestly spiritual gifts,
but especially that you may prophesy.
As we are told in I Thessalonians 5:5-11:
We are sons of light and sons of day. We are
not of night, nor of darkness;
so then let us not sleep as others do, but let
us be alert and sober.
For those who sleep do their sleeping at night, and
those who get drunk get drunk at night.
But since we are of the day, let us be sober, having
put on the breastplate of faith and love, and as a helmet, the hope of salvation.
For God has not destined us for wrath, but for obtaining salvation through our Lord Jesus Christ,
who died for us, that whether we are awake or asleep,
we may live together with Him.
Therefore encourage one another, and build up one
another, just as you also are doing.
Resolve that this year you are going to get closer to the Lord than ever before, and know His voice at least twice as good as ever before. We are going to need it.
Rick Joyner
Seeing and Hearing, Part 2
The ministry of a pastor is only mentioned one time in the New Testament—in Ephesians 4:11 where it is listed with the other equipping ministries given to the church. There is no definition or description given to this ministry in the New Testament, yet this one ministry has virtually dominated church leadership since the third century. True New Covenant ministry is a team ministry as we see in this verse, and we need to receive all of the ministries to be a fully equipped church.
Even though almost all Protestant, Evangelical, Pentecostal, and Charismatic churches are led by someone with the title of pastor, few of these are pastors according to the biblical sense. This is not to imply that they are not true ministries, but most are teachers, evangelists, prophets, or maybe even apostles. However, since pastor is the title most Christians relate to, they take this title when leading a church. This has worked somewhat, but in the times to come, we will need to become more biblical with church leadership.
To describe the ministry of a New Covenant prophet will require some examination of the team that the New Covenant ministry is intended to be. We cannot truly understand any of these equipping ministries, including the prophet, without understanding the interrelationship with the team. This is actually true of all the New Testament ministries—we cannot truly understand them except in the light of the whole team of ministries given to the church.
Many have modeled New Covenant prophets after the Old Covenant model, which is a mistake. The prophetic gifts may be the same under the Old and New Covenants, and the type of revelation may be similar, but the application is not the same. In Old Covenant times, the prophet often stood alone to challenge the nation’s departure from the Lord or even challenge its kings. However, in the New Covenant, the prophet is a member of a team that works for the building up of the body of Christ. We have examples of New Covenant prophets being used in remarkable ways in Scripture, but there are no examples of one bringing correction as this is done through the apostles and elders.
We see in Ephesians 4:11 that the main purpose of all of the equipping ministries in the church is to equip the believers, the saints, who are to do the work of the ministry. So equipping is a main function of the prophetic ministry, and this equipping has to do with helping all of God’s people to know His voice and even to be able to prophesy. In I Corinthians 14:31, we are told that “you can all prophesy.” Any believer can be used to prophesy at any time, and almost all will be used in this way at least once.
Enoch was the first to have walked with God after the Fall, and it was said of him that he prophesied (see Jude 14). A good case can be made from church history that everyone who walks with God will prophesy. I have even known some who do not believe that God still speaks prophetically and have seen them prophesy very accurately, but they just did not call it that.
The prophetic ministry is about much more than getting revelations of the future, but this is an important aspect of this ministry. It has been the special heritage of all who have walked with God to be given prophetic revelation into the future, and this is a gift that will become increasingly critical in the times ahead. Prophets are called “seers” and “watchmen” in the Old Testament because this was their function—to see. In places like Isaiah 29:10, prophets are called “eyes” and they are called to be the eyes of the body of Christ. Because the prophets are the eyes of the body, a church without prophetic ministry is in fact blind in some basic ways.
As the Apostle Paul warned the Corinthians, one part of the body should not say that it has no need of another part of the body, but this is in fact what much of the body has done, not just in relation to the prophets but to other ministries as well.
Most churches may not know they are blind because they are not moving, going anywhere, and so they are not stumbling about in the dark. However, if they do get moving, they will stumble if they do not have prophetic vision. They may still be able to feel their way through and crawl to where they’re going. However, we will see a major difference in the times to come between the churches, ministries, and missions who have prophetic vision and those who do not.
We are told in Acts 2:17-18 that “in the last days” the Lord will pour out His Spirit, and the result of this will be prophetic revelation in the form of visions, dreams, and prophecy. This is necessary “in the last days” because as we draw closer to the end of this age, we will need prophetic guidance more than ever.
Rick Joyner
Even though almost all Protestant, Evangelical, Pentecostal, and Charismatic churches are led by someone with the title of pastor, few of these are pastors according to the biblical sense. This is not to imply that they are not true ministries, but most are teachers, evangelists, prophets, or maybe even apostles. However, since pastor is the title most Christians relate to, they take this title when leading a church. This has worked somewhat, but in the times to come, we will need to become more biblical with church leadership.
To describe the ministry of a New Covenant prophet will require some examination of the team that the New Covenant ministry is intended to be. We cannot truly understand any of these equipping ministries, including the prophet, without understanding the interrelationship with the team. This is actually true of all the New Testament ministries—we cannot truly understand them except in the light of the whole team of ministries given to the church.
Many have modeled New Covenant prophets after the Old Covenant model, which is a mistake. The prophetic gifts may be the same under the Old and New Covenants, and the type of revelation may be similar, but the application is not the same. In Old Covenant times, the prophet often stood alone to challenge the nation’s departure from the Lord or even challenge its kings. However, in the New Covenant, the prophet is a member of a team that works for the building up of the body of Christ. We have examples of New Covenant prophets being used in remarkable ways in Scripture, but there are no examples of one bringing correction as this is done through the apostles and elders.
We see in Ephesians 4:11 that the main purpose of all of the equipping ministries in the church is to equip the believers, the saints, who are to do the work of the ministry. So equipping is a main function of the prophetic ministry, and this equipping has to do with helping all of God’s people to know His voice and even to be able to prophesy. In I Corinthians 14:31, we are told that “you can all prophesy.” Any believer can be used to prophesy at any time, and almost all will be used in this way at least once.
Enoch was the first to have walked with God after the Fall, and it was said of him that he prophesied (see Jude 14). A good case can be made from church history that everyone who walks with God will prophesy. I have even known some who do not believe that God still speaks prophetically and have seen them prophesy very accurately, but they just did not call it that.
The prophetic ministry is about much more than getting revelations of the future, but this is an important aspect of this ministry. It has been the special heritage of all who have walked with God to be given prophetic revelation into the future, and this is a gift that will become increasingly critical in the times ahead. Prophets are called “seers” and “watchmen” in the Old Testament because this was their function—to see. In places like Isaiah 29:10, prophets are called “eyes” and they are called to be the eyes of the body of Christ. Because the prophets are the eyes of the body, a church without prophetic ministry is in fact blind in some basic ways.
As the Apostle Paul warned the Corinthians, one part of the body should not say that it has no need of another part of the body, but this is in fact what much of the body has done, not just in relation to the prophets but to other ministries as well.
Most churches may not know they are blind because they are not moving, going anywhere, and so they are not stumbling about in the dark. However, if they do get moving, they will stumble if they do not have prophetic vision. They may still be able to feel their way through and crawl to where they’re going. However, we will see a major difference in the times to come between the churches, ministries, and missions who have prophetic vision and those who do not.
We are told in Acts 2:17-18 that “in the last days” the Lord will pour out His Spirit, and the result of this will be prophetic revelation in the form of visions, dreams, and prophecy. This is necessary “in the last days” because as we draw closer to the end of this age, we will need prophetic guidance more than ever.
Rick Joyner
Seeing and Hearing, Part 1
Since this is the first Word for the Week of 2011, and we are studying how to know God’s voice and the prophetic gifts that He has given to His church, I want to begin by sharing what may be one of the most prolific messages God’s people have been receiving. The question I may be asked more than any other is what 11-11 means. Whether seeing it repeatedly on their clocks or in other ways, many people have been receiving this for years. New Year’s Day was 1/1/11 or 11-11. This usually speaks of a second chance, which is the message of Isaiah 11:11 because it is here that God promises to restore Israel to their land a second time.
When Isaiah received this message, Israel had not even been scattered from the land and re-gathered the first time. When Jesus was asked about the signs of the end of the age, one of the things He said was that we should consider the fig tree, which is a symbol for Israel. Israel is one of the bold prophetic messages that prophets watch and consider. Israel is a barometer of mankind. It is in a perpetual state of conflict, both within and without. This has lasted for so long and they have desired peace so much that they have even been willing to give up large parts of their tiny bit of land in the hope of achieving peace. However, instead of leading to peace, the land they surrendered has become a base for attacking them. Their peace will never come from man, but only from God. The good news is that it will come from God, which is the most basic message of Isaiah 11.
Peace will never come by giving away what God assigned to us, but rather by esteeming everything He has given to us even more than peace with men and by seeing His purpose as even more valuable than life. It is time for Israel to be grafted back into the Tree—God Himself. It is a beginning to be re-gathered to the land, but it is more important to be re-gathered to the Lord.
Israel is a sign of God’s faithfulness to His Word. In Jeremiah 31, the Lord states that the order of the sun, moon, and the roaring of the sea would cease before His promises for Israel would fail. Many believe that these are now fulfilled in the church, “spiritual Israel.” This is true of many of them, but this does not negate that they are also for “natural Israel.” The Lord makes it clear in His Word in a number of places that these are for the physical seed of Abraham. The Apostle Paul also asserted this in his most important Epistle on New Covenant theology, the Book of Romans, as we read in chapters nine through eleven. As we are warned in this text, it is a big mistake to “become arrogant toward the natural branches” (see Romans 11:18).
The main message of the re-gathered nation of Israel is that God is faithful to His Word. He remains faithful even if we are unfaithful, and in His faithfulness He will give us another chance. The whole chapter of Isaiah11 is about the restoration of the earth to the paradise it was originally created to be, a second chance for the whole earth—the re-gathering of Israel “the second time” is a sign that this is near. The kingdom of God that God’s people have been praying for since Jesus walked the earth is near.
This is a year for recovering what has been lost, for many promises to come to pass, and for the backsliders to be brought back. This begins with prayer, intercession, and often fasting. When Daniel read in the prophecy of Jeremiah that Israel was to be scattered from the land the first time for seventy years, he did not just start rejoicing that it was time to return, but he started fasting and praying for God’s Word to be fulfilled.
Why do the promises of God need intercession to be fulfilled? As we are told in Psalm 115:16, “The heavens are the heavens of the Lord, but the earth He has given to the sons of men.” The Lord delegated authority over the earth to men, which is why He will not do things on the earth until we ask Him to. This is also why Jesus became a Man to become the Mediator, and while on earth, He always referred to Himself as the Son of man. He was the Son of God too, but He came here to be a Man to recover what man had lost.
Therefore, when we know it is time for the promises of God to be fulfilled, we need to engage heaven with prayer and fasting, being intercessors in unity with Jesus who we are told “ever lives to intercede” (see Hebrews 7:25). He is a Priest forever, according to the order of Melchizedek, and we are priests in the same order. For this reason, one of the primary messages and works among His people will be to restore the priesthood to which we are all called.
Rick Joyner
When Isaiah received this message, Israel had not even been scattered from the land and re-gathered the first time. When Jesus was asked about the signs of the end of the age, one of the things He said was that we should consider the fig tree, which is a symbol for Israel. Israel is one of the bold prophetic messages that prophets watch and consider. Israel is a barometer of mankind. It is in a perpetual state of conflict, both within and without. This has lasted for so long and they have desired peace so much that they have even been willing to give up large parts of their tiny bit of land in the hope of achieving peace. However, instead of leading to peace, the land they surrendered has become a base for attacking them. Their peace will never come from man, but only from God. The good news is that it will come from God, which is the most basic message of Isaiah 11.
Peace will never come by giving away what God assigned to us, but rather by esteeming everything He has given to us even more than peace with men and by seeing His purpose as even more valuable than life. It is time for Israel to be grafted back into the Tree—God Himself. It is a beginning to be re-gathered to the land, but it is more important to be re-gathered to the Lord.
Israel is a sign of God’s faithfulness to His Word. In Jeremiah 31, the Lord states that the order of the sun, moon, and the roaring of the sea would cease before His promises for Israel would fail. Many believe that these are now fulfilled in the church, “spiritual Israel.” This is true of many of them, but this does not negate that they are also for “natural Israel.” The Lord makes it clear in His Word in a number of places that these are for the physical seed of Abraham. The Apostle Paul also asserted this in his most important Epistle on New Covenant theology, the Book of Romans, as we read in chapters nine through eleven. As we are warned in this text, it is a big mistake to “become arrogant toward the natural branches” (see Romans 11:18).
The main message of the re-gathered nation of Israel is that God is faithful to His Word. He remains faithful even if we are unfaithful, and in His faithfulness He will give us another chance. The whole chapter of Isaiah11 is about the restoration of the earth to the paradise it was originally created to be, a second chance for the whole earth—the re-gathering of Israel “the second time” is a sign that this is near. The kingdom of God that God’s people have been praying for since Jesus walked the earth is near.
This is a year for recovering what has been lost, for many promises to come to pass, and for the backsliders to be brought back. This begins with prayer, intercession, and often fasting. When Daniel read in the prophecy of Jeremiah that Israel was to be scattered from the land the first time for seventy years, he did not just start rejoicing that it was time to return, but he started fasting and praying for God’s Word to be fulfilled.
Why do the promises of God need intercession to be fulfilled? As we are told in Psalm 115:16, “The heavens are the heavens of the Lord, but the earth He has given to the sons of men.” The Lord delegated authority over the earth to men, which is why He will not do things on the earth until we ask Him to. This is also why Jesus became a Man to become the Mediator, and while on earth, He always referred to Himself as the Son of man. He was the Son of God too, but He came here to be a Man to recover what man had lost.
Therefore, when we know it is time for the promises of God to be fulfilled, we need to engage heaven with prayer and fasting, being intercessors in unity with Jesus who we are told “ever lives to intercede” (see Hebrews 7:25). He is a Priest forever, according to the order of Melchizedek, and we are priests in the same order. For this reason, one of the primary messages and works among His people will be to restore the priesthood to which we are all called.
Rick Joyner
วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554
แนวความแบบคนยิวและแนวความคิดแบบชาวกรีก - Hebrew and Greek Mindset

1. คนยิวเชื่อว่าความสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนชาวกรีกคิดว่าความรู้สำคัญที่สุด
2. คนยิวเชื่อว่าความจริงเป็นรูปธรรมและทุกคนควรนำไปปฏิบัติ ส่วนชาวกรีกคิดว่าความจริงเป็นนามธรรมและเรื่องส่วนตัว
3. คนยิวเชื่อว่าความจริงถูกเปิดเผยและรับรู้ได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนชาวกรีกคิดว่าการค้นพบครั้งแรกก็เปลี่ยนอะไรๆได้ยากเย็น
4. คนยิวเชื่อว่าพระเจ้าเป็นแหล่งและผู้เปิดเผยปัญญาทั้งสิ้น ส่วนชาวกรีกคิดว่าปัญญาถูกค้นพบด้วยตัวมนุษย์เอง
5. คนยิวเชื่อว่าศรัทธาความเชื่อและการวางใจเป็นสิ่งจำเป็น ส่วนชาวกรีกคิดว่าการพิสูจน์และประสบการณ์เชิงประจักษ์สำคัญ
6. คนยิวเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง ส่วนชาวกรีกเชื่อว่าต้องพิสูจน์ได้หรือไม่ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง
7. คนยิวมุ่งที่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้า “พระบิดา” ส่วนชาวกรีกมุ่งรับรู้แค่พระลักษณะของพระเจ้าเท่านั้น
8. คนยิวเชื่อว่าอาณาจักรของพระเจ้าเริ่มตั้งแต่บนโลกขณะนี้ ส่วนชาวกรีกคิดว่าไม่เกี่ยวกับชีวิตบนโลกใบนี้
9. คนยิวเชื่อว่าชีวิตนิรันดร์เริ่มต้นเดี๋ยวนี้โดยมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า ส่วนชาวกรีกคิดว่าชีวิตนิรันดร์เริ่มหลังจากตายไปแล้ว
10. คนยิวมีการคบหาสมาคมกับผู้อื่น ส่วนชาวกรีกมุ่งที่เรื่องส่วนตัว
11. คนยิวมีกระบวนการคิดที่ว่า ฉันต้องเรียนรู้ให้เพียงพอจึงจะตอบสนองและกระทำตาม ส่วนชาวกรีกคิดว่า “ให้ฉันคิดและสัมผัสก่อน และถ้าไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ฉันจะสับสนและเคลื่อนต่อไปไม่ได้”
12. คนยิวเห็นคุณค่าของข้อล้ำลึก ส่วนชาวกรีกเห็นความสำคัญของข้อเท็จจริงและความรู้ ไม่พยายามรับรู้ข้อล้ำลึก
13. คนยิวเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติและโลกที่มองไม่เห็น ส่วนชาวกรีกเชื่อในสิ่งที่สัมผัสจับต้องได้โดยประสาทสัมผัส
14. คนยิวเชื่อในเรื่องสงครามฝ่ายวิญญาณ ส่วนคนกรีกคิดว่ามันเป็นเรื่องงมงาย
15. คนยิวเน้นการพึ่งพาอาศัยกัน ส่วนชาวกรีกเป็นเอาแค่ตนเองพอใจ
16. คนยิวทำตามในสิ่งพระอาจารย์ทำและเป็นเหมือนกับเขา ส่วนชาวกรีกแค่รับรู้และไม่ต้องการเป็นเหมือนกับอาจารย์ของเขา
วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554
ความฝัน: วิญญาณนางเยเซเบล - Spirit of Jezebel
พระเจ้าเตือนผมในฝันถึงเกี่ยวกับเรื่องของผู้ปกครองในบ้านเมืองของเรา
พระองค์ให้เห็นผมสตรีผู้หนึ่งกำลังยืนขึ้นเพื่ออวยพรชายผู้นั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่
แต่ในคำอวยพรนั้น ผมสัมผัสได้มันเป็นการแช่งให้ตายไวๆ...
ชายผู้นั้นคือ ผู้นำระเทศของเรา
หญิงผู้นั้นคือ ผู้ที่อยู่เคียงข้างชายผู้นี้..
อธิษฐาน
ขอพระเจ้าหยุดการงานของวิญญาณเยเซเบลที่ครอบครองอยู่เหนือคนใหญ่โตในบ้านเหมือนของเรา...
กษัตริย์อาหับอยากทำดีแต่ทำดีไม่ขึ้นเพราะโดนชักใยอยู่เบื้องหลังโดยเยเซเบลอย่างไร
ปัจจุบันนี้วิญญาณเยเซเบลก็ทำงานควบคุมเหนือคนที่มีอำนาจ ในทุกๆสังคมอย่างนั้น
และคริสตจักรก็เป็นเป้าหมายหนึ่งของมัน...
ผู้เชื่อทั้งหลายจงเฝ้าระวัง และอธิษฐาน เพื่อจะไม่ต้องเข้าสู้การทดลอง...
พระองค์ให้เห็นผมสตรีผู้หนึ่งกำลังยืนขึ้นเพื่ออวยพรชายผู้นั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่
แต่ในคำอวยพรนั้น ผมสัมผัสได้มันเป็นการแช่งให้ตายไวๆ...
ชายผู้นั้นคือ ผู้นำระเทศของเรา
หญิงผู้นั้นคือ ผู้ที่อยู่เคียงข้างชายผู้นี้..
อธิษฐาน
ขอพระเจ้าหยุดการงานของวิญญาณเยเซเบลที่ครอบครองอยู่เหนือคนใหญ่โตในบ้านเหมือนของเรา...
กษัตริย์อาหับอยากทำดีแต่ทำดีไม่ขึ้นเพราะโดนชักใยอยู่เบื้องหลังโดยเยเซเบลอย่างไร
ปัจจุบันนี้วิญญาณเยเซเบลก็ทำงานควบคุมเหนือคนที่มีอำนาจ ในทุกๆสังคมอย่างนั้น
และคริสตจักรก็เป็นเป้าหมายหนึ่งของมัน...
ผู้เชื่อทั้งหลายจงเฝ้าระวัง และอธิษฐาน เพื่อจะไม่ต้องเข้าสู้การทดลอง...
วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554
พระเจ้าทรงเป็นป้อมปราการ
1. พระเจ้าผู้ทรงเป็นป้อมปราการ ทรงอิทธิฤทธิ์และทรงยิ่งใหญ่
พระองค์ทรงปราบปรามอำนาจมาร ซึ่งมีมาดั่งสายน้ำไหล
ศัตรูมนุษย์เสาะหา ตั้งแต่อดีตสืบมา อุบายล่อลวงปวงชน
หนีโดยลำพังไม่พ้น แต่กลับถึงตายวายชีวา
2. แม้โลกเต็มด้วยอบายหมู่มาร เราก็ไม่สะท้านระย่อใจ
แม้มันหาช่องทางเพื่อต่อสู้ เราพึ่งฤทธิ์เดชพระเจ้าใหญ่
ทรงสำแดงน้ำพระทัย เอาความจริงสู้อุบาย
ให้พ้นกองทุกข์มืดดำ เข้าสู่ในทางชอบธรรม
พระองค์ทรงนามพระเยซู
3. ดำรัสพระเจ้ามีฤทธิ์เหนือโลก อาศัยอำนาจแห่งโลกไม่ได้
พระเจ้าประทานพระวิญญาณมา ทรงอยู่ฝ่ายเราตลอดไป
สิ่งอนิจจังโลกีย์ ย่อมสละทิ้งทันที
ร่างกายก็ถูกฆ่าได้ พระโอวาทถาวรไซร้
แผ่นดินสวรรค์นิรันดร
พระองค์ทรงปราบปรามอำนาจมาร ซึ่งมีมาดั่งสายน้ำไหล
ศัตรูมนุษย์เสาะหา ตั้งแต่อดีตสืบมา อุบายล่อลวงปวงชน
หนีโดยลำพังไม่พ้น แต่กลับถึงตายวายชีวา
2. แม้โลกเต็มด้วยอบายหมู่มาร เราก็ไม่สะท้านระย่อใจ
แม้มันหาช่องทางเพื่อต่อสู้ เราพึ่งฤทธิ์เดชพระเจ้าใหญ่
ทรงสำแดงน้ำพระทัย เอาความจริงสู้อุบาย
ให้พ้นกองทุกข์มืดดำ เข้าสู่ในทางชอบธรรม
พระองค์ทรงนามพระเยซู
3. ดำรัสพระเจ้ามีฤทธิ์เหนือโลก อาศัยอำนาจแห่งโลกไม่ได้
พระเจ้าประทานพระวิญญาณมา ทรงอยู่ฝ่ายเราตลอดไป
สิ่งอนิจจังโลกีย์ ย่อมสละทิ้งทันที
ร่างกายก็ถูกฆ่าได้ พระโอวาทถาวรไซร้
แผ่นดินสวรรค์นิรันดร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)